26 December 2006

Last Christmas

หนึ่งปีแล้วนับจากการเดินทางครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต กับการเดินทางที่เปลี่ยนหลายๆอย่างข้างใน กับความรู้สึกเติบโตครั้งสำคัญครั้งใหญ่ กลิ่นอายสถานที่ สีหน้าผู้คนที่สวยงาม รายละเอียดของแต่ละเหตุการณ์ ยังถูกจดจำไว้เป็นอย่างดี

คิดถึงขึ้นมาแล้วก็ยังนึกเสียดายสถานที่บางแห่งที่ถูกละเลยไป แม้จะนึกอยากย้อนรอยกลับไปเพิ่มรายละเอียดให้สมบูรณ์ แต่เรื่องราวในชีวิตได้พบเพียงหนึ่งครั้ง เก็บทุกอย่างที่เกิดขึ้นไว้ให้ดี ผมกล่าวย้ำเตือนตัวเองเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่นึกอยากจะนับ

ถึงตอนนี้มีโอกาสได้เดินทางแบบเล็กๆกันอีกครั้ง แต่ช่องทางนั้นมิได้มีให้เลือกมาก จึงจำใจเลือกทางเร็วให้อึดอัดเล่น แวะเวียนมาที่สนามบินอีกครั้งแบบผิดนัดหมาย เลยต้องนั่งรอเวลาที่แลกมาด้วยเงินตราอันมิใช่ของตนเอง คิดถึงข้อนี้แล้วก็นับว่าเศร้าใจ นึกไปนึกมาก็ตลกดีที่โทษของการไม่ตรงต่อเวลา กลับเป็นเวลาที่ได้มาเพิ่มเติม ถึงได้มีโอกาสมาขีดๆเขียนๆอยู่ตรงนี้

เวลาอยู่ที่สนามบิน มักจะชวนให้นึกไปถึงหนังเรื่อง Love Actually หรือบางคนอาจนึกไปถึง The Terminal เสียแต่ว่าผมยังไม่ได้ดู แปลกดีที่ผมมักจะพลาดหนัง Tom Hanks ในช่วงหลังๆ ผิดกับหนัง Jack Black ที่ไม่ค่อยจะพลาด แต่เรื่องล่าอย่าง Tenacious D ถ้าไม่รักกันจริง ก็ไม่แนะนำหรอกนะ

ผู้คนตอนนี้จัดว่าไม่พลุกพล่าน ความรักทะลักทะล้นแบบในหนังจึงไม่โผล่มาให้เห็น พบแต่ความเหม่อมองรอคอยอันว่างเปล่า ตัดสินใจฟุ่มเฟือยตัวเองต่อไปด้วยกาแฟสตาร์บักส์ แก้วแรกในรอบหลายเดือน ไวท์ช็อกโกแลตม็อคค่าถูกหยิบยื่นมาด้วยความร้อนกำลังดีอย่างน่าประทับใจ จิบดื่มๆ แล้วนึกในใจว่าน่าจะสั่งแก้วใหญ่ สักครู่หนึ่งก็มีสาวเม็กซิกันมานั่งใกล้ๆอยู่ห่างๆ กลิ่นอาหารจานด่วนที่ผู้คนประณามว่าทำลายสุขภาพโชยออกมาอย่างน่ากวนใจ แต่ยามนี้ผมไม่สนใจเรื่องนั้นนัก นึกอยากเอากาแฟในมือที่เหลือเพียงหยดไปแลก แต่ผลลัพธ์อาจเจ็บตัวกลับมาได้ เลยนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัว รอเวลาโบยบินต่อไป

ช่วงเวลาแห่งเทศกาลเป็นโอกาสอันดี ให้เพลงหลายเพลงที่อัดอั้นมาทั้งปี ได้ทีเปิดเล่นวนเวียนกันทั้งวัน เสียงร้อง Jingle bell rock พาให้คอยครึกครื้นไม่ว่าจะเป็นใครร้อง ผิดกับ Last Christmas ที่ผมมักจะนึกถึงเวอร์ชันอันเจาะจง

เมฆบนฟ้าเริ่มไม่ค่อยทำงาน จึงได้ทีพระอาทิตย์ส่องแสงไร้ผู้บดบัง เหมือนกลุ่มคนจะแปรผันตามภาพแสง บรรยากาศในหนังจึงค่อยเปิดปรากฎ ยิ่งเวลาเดินพา สุขยิ้มเพลินตาจึงค่อยๆได้โอกาสโอบกอดผู้คน ถ้าตัวละครของมุราคามิเป็นผู้เอกอุในการบั่นทอนเวลาแล้ว ผมคงมิได้ห่างเชิงจากนั้นซักเท่าไร

ถึงเวลาลุกจากที่นั่งฝังตัวอันยาวนาน มือหนึ่งหอบหิ้วกระเป๋า เก็บอีกมือไว้โบกลาจากเมืองนี้แบบชั่วคราว ผ่านจุดตรวจเข้าไปนั่งจองที่วางแขนให้เพลินใจ ก่อนหลับตาฟังเสียง Erlend Øye วนเวียนกับหนึ่งเพลงจนปลายทาง

Once bitten and twice shy
I keep my distance
But you still catch my eye

.

Better late than never, Merry Christmas.


Seasonal Greetings

17 December 2006

Persepolis

สมัยก่อนเวลานัดเจอคนผมมักเลือกนัดพบในร้านแผ่นเพลง หรือไม่ก็ร้านหนังสือ ต่อมาโทรศัพท์ติดตามตัวแพร่หลาย สถานที่นัดเจอจึงเริ่มไม่มีความหมาย ร่วมไปกับนิสัยเสียที่แก้ไม่ค่อยหาย ที่มักจะไปสายอยู่เป็นประจำ จึงนับครั้งได้ที่จะมีโอกาสไปเตร็ดเตร่รอใครสักคน

ครั้งหนึ่งมีโอกาสได้ไปรอที่ร้านหนังสือคิโนะคุนิยะอันใหญ่โต ณ สยามพารากอน ไปสะดุดตาหนังสือภาพหน้าตาน่าสนใจ ประกอบกับไปวางอยู่ในหมวดศาสนาที่เผอิญเดินผ่าน เลยหยิบขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจใคร่รู้

อ่านไปอย่างเพลิดเพลิน แล้วก็ไม่ยอมซื้อ

เลยได้บทเรียนแบบน่าเขกกะโหลกในอีกไม่กี่วันต่อมา เมื่อพบว่าเล่มแรกไม่มีแล้ว เหลือเพียงแต่เล่มสอง เลยจำใจซื้อมาเก็บไว้ก่อน จวบจนเดินไปเจอร้านหนังสือภาพที่ว่าคราวก่อน ถึงจะมีโอกาสได้อ่านเล่มแรกจนจบ ก่อนจะต่อเนื่องไปถึงเล่มสองจนได้

Persepolis: The Story of a Childhood Persepolis 2: The Story of a Return

Persepolis เป็นผลงานโดย Marjane Satrapi ซึ่งหยิบเอาเรื่องราวของตัวเธอ ตั้งแต่เด็กจนโตมาเล่าผ่านลายเส้นของเธอเอง ช่วยให้ทุกอย่างลื่นไหลเหมือนได้แฝงตัวอยู่ในเหตุการณ์จริง

เธอเป็นชาวอิหร่านที่ใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดี และมีการศึกษาที่ดี อิหร่านขณะนั้นยังปกครองด้วยระบบกษัตริย์ มี Mohammad Reza Pahlavi เป็นองค์ประมุขของประเทศ ซึ่งคนอิหร่านจะเรียกกษัตริย์ของตนเองว่าพระเจ้าชา (The Shah)

จวบจนการบริหารบางอย่างอันดูไม่ชอบธรรม นำไปสู่การประท้วงของผู้คน ประชาชนจึงพากันออกมาขับไล่ แม้จะมีความพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดบางอย่าง แต่ก็ไม่นับว่าจริงใจหรือถูกใจผู้คนนัก สุดท้ายทุกอย่างก็มีการเปลี่ยนแปลง (Iranian Revolution)

วันที่พระเจ้าชาถูกเนรเทศออกจากประเทศ ประชาชนอิหร่านต่างพากันออกมาฉลองชัยอย่างยิ่งใหญ่ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเพียงภาพลวงตา ปัญหาหลายอย่างไม่ได้ถูกแก้ไข ขณะเดียวกันกลับเพิ่มปัญหาเข้าไปอีกมากมาย

ผลจากการปฎิวัติ คณะปกครองซึ่งขึ้นมาครองอำนาจ จึงออกนโยบาย กำจัดวัฒนธรรมตะวันตก จำกัดสิทธิสตรี รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษา และนโยบายคุมเข้มต่างๆอีกมากมาย

สุดท้ายขณะที่ Marjane Satrapi อายุได้ 14 ปี ครอบครัวของเธอก็ตัดสินใจส่งเธอไปเรียนต่อที่เวียนนา ประเทศออสเตรเลีย ขณะที่ครอบครัวของเธอยังคงปักหลักอยู่ที่อิหร่านต่อไป แม้ว่าจะมีโอกาสอพยพมาด้วยกันก็ตาม (อันหลังนี้ผมเติมลงไปเอง)

แน่นอนว่าการใช้ชีวิตในสถานที่แห่งใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว ทุกอย่างที่นั่นค่อยๆเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นใกล้จบชีวิตอยู่ข้างถนน แต่แล้วโชคก็ยังเข้าข้างเธอบ้าง เธอจึงมีโอกาสได้กลับไปยังอิหร่าน และได้เรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย ก่อนจะมีโอกาสได้แต่งงานเหมือนดังผู้หญิงซักคน แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเธอก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่านี่เป็นบ้านหลังเดิมอีกต่อไป

Persepolis: The Story of a Childhood จะเป็นเรื่องราวของเธอในช่วงนับตั้งแต่เธอเกิดจนเธอถูกส่งไปยังออสเตรีย ขณะที่ Persepolis 2: The Story of a Return จะเป็นเรื่องราวของเธอกับชีวิตสาหัสที่ออสเตรีย จนกลับมาว้าเหว่ต่อในบ้านเกิด

Sample graphics from Persepolis 1 & 2

นักวิจารณ์บางคนบอกว่าความโดดเด่นของหนังสือภาพเล่มนี้อยู่ที่เรื่องราวที่ถูกเล่าออกมา ซึ่งก็อาจจะไม่ผิด แต่ผมว่านั่นไม่ค่อยยุติธรรมซักเท่าไร

ขณะนี้เธอใช้ชีวิตอยู่ในปารีส ฝรั่งเศส เป็นนักวาดภาพที่มีผลงานออกมาหลายเล่ม ขณะที่เขียนนี่ก็เพิ่งรู้ว่า Persepolis จะถูกทำออกมาเป็นภาพยนตร์อนิเมชันซึ่งมีกำหนดออกฉายในปี 2007

เธอพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นี่นับเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ เพราะตั้งแต่เธอโตขึ้นมา เธอเลือกที่จะทำงานคนเดียวอย่างมีอิสระเสรีมิต้องสนใจใยดีใคร แต่ตอนนี้เธอกำลังทำลายความสวยงามอันนั้นด้วยการทำภาพยนตร์อนิเมชันจากหนังสือของเธอ อันหมายความว่าเธอจะต้องทำงานร่วมกับคนมากกว่าแปดสิบคนทุกวัน!

แล้วจะรอคอยผลงานจากความทรมานอย่างใจจดใจจ่อ

16 December 2006

Put The Book Back On The Shelf

เพราะมีคนพูดถึง เลยถือโอกาสหยิบมาเขียน

ย้อนอดีตไปไม่นาน กิจกรรมช่วงหนึ่งสมัยกำลังปรับแรงดึงดูด เป็นการเดินเท้าผสมนั่งราง มองทิวทัศน์รอบข้าง พาหลงทางไปเนืองๆ แม้ตึกจะหน้าตาเชยๆ ร้านค้าไม่ค่อยน่ามอง แต่ทางเดินกว้างขวาง กับอากาศที่เหมาะสม กิจกรรมเดินเีรื่อยเปื่อยจึงถูกจัดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่อย่าหวังว่าจะจำเส้นทางอะไรได้ เพราะทำเพียงแต่เดินจริงๆ จนบางครั้งนึกอยากหยุดพัก แต่สถานที่กลับไม่อำนวยนัก ทางออกที่เหลือจึงมีเพียงแต่เดิน เดิน เดิน

จนได้มาเจอร้านหนังสือภาพร้านหนึ่ง ท่าทางคงขลัง เลยไม่คิดรีรอที่จะแวะพักกันเสียหน่อย หนังสือภาพหลากชนิด รวมไปถึงหนังสืออาร์ทหน้าตาแปลกๆ ก็มีอยู่ไม่น้อย หนังสือการ์ตูนแปลจากญี่ปุ่น รูปเล่มงดงามวางเรียงสวยงามสมกับรูปเล่ม และราคาที่ต่างจากที่เคยซื้อลิบลับ นึกอยากอวดกันกลางร้านว่าทั้งชั้นนั้นน่ะเคยอ่านมาหมดแล้ว แต่คงจะขำเกินไปหน่อย

เดินเข้ามาจนถึงด้านใน เจอหนังสือภาพหน้าปกสะดุดตา แต่ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนสังเกตชื่อเรื่อง Put The Book Back On The Shelf กับชื่อกำกับที่มุมขวาล่างว่า a Belle & Sebastian anthology

Put The Book Back On The Shelf

แล้วเพลงต่างๆของ Belle & Sebastian ก็ถูกตีความออกมาเป็นภาพและเนื้อเรื่อง อ่านคลอไปพร้อมกับเพลง เลยได้เป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ให้ลื่นไหลเพลิดเพลิน แต่มีติดขัดไปบ้างกับบางตอน ที่คนวาดเลือกจะใส่เรื่องตามใจตัวเอง แต่การตีความเนื้อเพลงก็ำไม่ได้มีตายตัวอยู่แล้ว ขณะที่บางตอนอย่าง Dog on wheel ก็เลือกที่จะแนบแน่นเสียสนิทใจ

ถ้าถูกบังคับให้เลือกเพลงที่ชอบคงยากลำบากเกินไป แต่ถ้าถูกบังคับให้เลือกตอนที่ชอบจากในหนังสือ คงขอเลือกตอนที่ฟังพร้อมกับเพลงไปได้แบบไม่ติดขัดอย่าง

Get me away from here I'm dying กับสีเส้นสวยถูกใจ คลอไปกับความเหงาที่โบยบิน
You made me forget my dreams กับความฝันและความเศร้า
Asleep on a sunbeam กับความเรียบง่ายน่าีีรักที่คาดหวัง
If you find yourself caught in love ที่โฆษณาตัวเองในเนื้อเรื่องได้น่ารักจนคิดเอาอย่าง

และตอนดีดีที่ชอบอีกหลายตอนที่ขอละไว้


รายชื่อเพลง และผู้วาดเรียงลำดับได้ตามนี้
  1. The State I'm In by Rick Spears & Rob G.
  2. Expectations by Chris Butcher, Kalman Andrasofszky & Ramon Perez
  3. I Could be Dreaming by Andi Watson
  4. We Rule the School by Mark Smith & Paul Maybury
  5. Me and the Major by Tom Hart
  6. Fox in the Snow by Jacob Magraw
  7. Get Me Away from Here, I'm Dying by Catia Chen
  8. Dog on Wheels by Kako
  9. Lazy Line Painter Jane by Janet Harvey & Laurenn McCubbin
  10. You Made Me Forget My Dreams by Matthew S. Armstrong
  11. Beautiful by Charles Brownstein & Dave Crosland
  12. Ease Your Feet into the Sea by Bruno D'Angelo
  13. The Model by Jennifer de Guzman & Brian Belew
  14. The Chalet Lines by Erin Laing & Matt Forsythe
  15. Nice Day for a Sulk by Rick Remender & John Heebink
  16. There's Too Much Love by Leela Corman
  17. Legal Man by Joey Weiser
  18. Marx & Engels by Jamie S. Rich & Marc Ellerby
  19. Step into My Office, Baby by Ian Carney & Jonathan Edwards
  20. Dear Catastrophe Waitress by Mark Ricketts & Leanne Buckley
  21. Piazza, New York Catcher by David Lasky
  22. If She Wants Me by Ande Parks & Chris Samnee
  23. Asleep on a Sunbeam by Nicholas Bannister
  24. If You Find Yourself Caught in Love by Steven Griffin


อ่านจบแล้วก็นึกถึง Mornington Crescent

อันนี้่ก็ไม่เลวนะ หึหึ

16 November 2006

Eighties Fan

ไหลตามรางถึงที่หมายได้ราบรื่นผิดธรรมชาติตัวเอง หนึ่งในการแสดงสดที่รอคอยมายาวนานกำลังรออยู่ข้างหน้า ตรวจตั๋วและตรวจบัตรพิสูจน์อายุที่เกือบไม่ผ่านเกฌฑ์--ความจริงอาจจะไม่ใช่อย่างที่พูด

ถึงเวลาเริ่มแสดงแล้ว บนเวทียังโล่งปราศจากผู้คน อันหมายถึงผมคงยังต้องรอต่อไป พักใหญ่หลังจากนั้นวง Brookville ก็ออกมาแสดง

ไม่ใช่ครับ นี่ไม่ใช่วงที่ผมรอคอย อันที่จริงก็พูดได้ว่าไม่เคยฟังมาก่อน และหลังจากนี้ก็คงขอปล่อยผ่านเลยไป

จัดเป็นหนึ่งชั่วโมงที่ยาวนานไม่น้อย

เมื่อนานมาแล้วเวลาที่สิ้นหวังไร้กิจกรรมใดใด ผมมักจะเปิดโทรทัศน์ เปลี่ยนช่องแบบสิ้นหวัง ก่อนมาลงเอยด้วยช่องมิวสิควิดีโอที่ึิึิคิดว่าโดนเปลี่ยนเป็นเจ้าอื่นไปแล้ว และนั่นก็เป็นที่มา ผมรู้จักพวกเค้าครั้งแรกจากการได้ดูมิวสิควิดีโอ Hearbeat แต่ที่ยังเหลืออยู่ในความทรงจำก็มีแค่ตัวเพลงเท่านั้น แต่นั่นก็มากเีพียงพอ กลางดึกวันนั้นเลยเป็นจุดเริ่มต้นของการติดตามไล่ฟัง ก่อนแพร่กระจายไปถึงบุคคลรอบข้าง...



Tahiti 80 - Fosbury Tour 2006

แสงไฟบนเวทีดับเป็นธรรมเนียมของการเิริ่มต้น แต่ผมอยู่ใกล้พอที่จะเห็นทุกการเคลื่อนไหวแบบถนัดตา ไฟค่อยๆสว่างๆพร้อมๆกับที่ทุกอยู่ประจำตำแหน่งกันเรียบร้อย ครั้งแรกของการดูการแสดงสด Tahiti 80 เริ่มด้วย Love Shines ที่ไม่มีป้า Lewis มาร่วมร้องด้วย ก็ชวนให้คิดถึงเล็กน้อย ก่อน Matter of Time กับ Yellow Butterfly จะตามออกมาอย่างไหลลื่น เพลงจากแต่ละอัลบั้มถูกนำมาเล่นอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นกันที่อัลบั้ม Fosbury เป็นพิเศษ

Pedro as a second drummer Tahiti 80: Fosbury Tour

นักวิทยาศาสตร์ว่าไว้ แรงกระทำเท่ากับแรงตอบสนอง ยิ่งคนดูสนุกครึกครื้น Tahiti 80 ยิ่งเล่นก็ยิ่งคึก โดยเฉพาะคุณ Pedro มือเบสหุ่นอวบอั๋นที่ออกลีลาได้น่ารักน่าเอ็นดู ก่อนจะเพิ่มดีกรีเมื่อได้ของขวัญจากคนดู ที่เจ้าตัวยืนกรานว่าเป็นแค่ชา ก่อนหายไปหลังเวทีก่อนกลับมาพร้อมหมวกคุณแพนด้า แล้วทิ้งเบสหันมาตีกลองคู่กับคุณ Sylvain ปล่อยให้คุณ Xavier มาจับเบสเล่นรีมิกซ์กันอย่างเมามัน หลังจากนั้นก็ถึงเวลาลาจากแบบหลอกๆตามธรรมเนียม

ไม่ต้องให้เรียกร้องกันนานก็กลับออกมาอีกครั้ง Tahiti 80 กล่าวขอบคุณ Minty Fresh ที่ทำให้มีวันนี้ แล้วก็ถึงเวลา Heartbeat เรียกเสียงกรี๊ดสนั่นหวั่นไหว ตามติดๆด้วย A Love From Outer Space เล่นต่ออีกหนึ่งเพลง ก่อนกล่าวขอบคุณแฟนๆแล้วหายลับไปหลังเวที

ความสนุกจะจบลงเพียงเท่านี้เหรอ

เหมือนทุกคนจะติดอยู่ในวังวน ยังหรอก ยังไม่รู้สึกอิ่มพอ แล้ว Tahiti 80 ก็ตอบสนองด้วยการกลับมาอีกครั้ง ให้ทุกคนปรีดา ก่อนปิดฉากด้วย Revolution ที่ขอประกาศว่านี่เป็นเพลงสุดท้ายแล้ว จริงๆ

ไำฟเปิดสว่าง แต่ละคนทยอยกลับ ส่วนผมขอยื่นนิ่งอิ่มๆอึ้งๆอีกเล็กน้อย คิดอยู่แล้วว่าจะต้องสนุกมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะไปถึุงระดับสุดขีดของผมได้แบบนี้

ตั้งสติได้ก่อนเดินไปเอาเสื้อโค้ทคืน พลันเหลือบไปเห็นคุณ Xavier ยืนเด๋อด๋าแจกลายเซ็นอยู่ไม่ห่าง

ก่อนหน้าตั้งใจว่าคราวนี้จะท่องรายการเพลงที่เล่นมาให้ครบ แต่บรรยากาศสนุกสุดขีดจนสมองไม่ค่อยทำงาน พอได้เข้าไปคุยด้วย ลำดับเพลงเลยโหว่ๆผิดๆเลอะเลือนยิ่งกว่าเดิม

โผล่หน้าเข้าไปคุย พอบอกว่ามาจากเมืองไทย คุณ Xavier ก็ยิ้มแก้มปริ ขอจับมือเป็นการใหญ่ ผมได้ทีบอกว่ามีคนรอดูอยู่ที่เมืองไทยจำนวนมาก เค้าก็พยักหน้า บอกว่าก็ได้ยินมาว่าอย่างนั้น

คนอื่นเค้าพกซีดี Fosbury มารอให้เซ็นกัน บางคนก็ซื้อกันตรงนั้นเลย ด้วยว่ามีอยู่แล้วแต่ไม่ได้เอาไป ถ้ารู้มาก่อนคงขนไปกันตั้งแต่ชุด Puzzle ควานหากระดาษทั่วตัว โชคดีว่าเป็นเจ้าแห่งการหลงทาง เลยมีกระดาษที่พิมพ์แผนที่เส้นทางอยู่ ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่เวลานั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นเหลือ เลยได้มาเป็นแบบนี้

See you in Thailand

ครับ แล้วเจอกันครับ

18 October 2006

The Loving Sounds of Static

Mobius Band

นึกถึงตอนที่เคยเขียนถึงเมื่อนานมาแล้ว ไม่คิดไม่ฝันจะได้มีโอกาสดูกันจริงๆกับ Mobius Band

มาเล่นสถานที่เดียวกับ The Stills เลยนึกกระหยิ่มอยู่ในใจ หนทางข้างหน้าคงง่ายดายไม่ติดขัด แต่ท้ายที่สุดก็เกือบพลาดไปจนได้ เพราะเจ้าแห่งการหลงทางหลอกหลอนอยู่ไม่ห่าง ด้วยว่างานไม่ยักเริ่มตรงเวลาเหมือนครั้งก่อน เลยหลุดรอดเข้าไปยืนรอให้เมื่อยๆเปื่อยใจเล่น

วันนี้มีวงมาเล่นอยู่สามวง วงแรกเล่นผ่านเลยไปไร้ที่จดจำ ก่อนเก็บข้าวเก็บของลงเวทีตามระเบียบ แล้วก็มีชายหนุ่มแต่งตัวดีท่าทางเหมือนผู้จัดการวง ขนกล่องคล้ายหีบเพลงขนาดใหญ่ กล่องนี้คงมีชื่อเีรียกที่ถูกต้อง แต่ด้วยความเขลาเบาปัญญา จึงขอเรียกว่าำหีบเพลงลึกลับแทนก็แล้วกัน โดยไม่ทันคาดคิดหีบเพลงลึกลับก็บรรเลงเพลงเต้นรำอารมณ์จัดว่าย้อนยุคหน่อย ก่อนชายหนุ่มคนนั้นจะหยิบไมค์ร้องเพลง วาดลวดลายได้เท่ถูกใจ เหมือนผมเป็นคนออกแบบให้ จบเพลงแรกผ่านไปผมค่อยมารู้ว่าเค้าคือ Baby Dayliner

จากนั้นก็เหมือนการสื่อสาร ระหว่างคนร้องและคนดูจะตรงกันอย่างไร้ที่ติ คนดูที่ก่อนหน้านี้ยืนกันห่างๆ พากันขยับขึ้นมาประชิดเวที ร่วมเล่นเต้นร้องเพลิดเพลินเกินใจ ยิ่งเล่นก็ยิ่งคึกคัก จนดูเหมือนจุดสูงสุดของคลื่นอารมณ์จะมาอยู่ที่ตรงจุดนี้ Baby Dayliner จบลงแล้ว คนดูก็จางหายตามออกไป ดาวเด่นของคืนนี้คงไม่ใช่ Mobius Band อย่างที่ผมเข้าใจซะแล้ว

ก่อนหน้านี้ได้อ่าน Stuart Murdoch เขียนบ่นเรื่องวงร๊อกสมัยนี้แต่งตัวซ้ำๆกันจนน่าเบื่อ The Stills วันก่อนคงไม่ได้อ่าน แต่ดูเหมือน Mobius Band จะได้อ่าน แต่ละคนที่หน้าตา geekๆ กันอยู่แล้วเลยส่งเสริมภาพลักษณ์ตัวเองกันต่อไป แต่เสื้อผ้าไม่ใช่ประเด็นอยู่แล้ว ที่น่าห่วงกว่าคือคนดูหดหาย จนดูน่าใจหาย

ทางวงเลยหาทางเรียกคนดูโดยประกาศ "พวกเรา Baby Dayliner, ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเมื่อกี้ต้องพยายามขโมยชื่อเราด้วย" มุกนี้คงไม่ได้ช่วยอะไรมาก ว่าแล้วก็เล่นกันเลยดีกว่า เดาไว้ไม่ผิดว่าต้องเริ่มกันที่ Starts Off With A Bang ก่อนจะต่อด้วย Twilight ถ้าไม่ได้จำสับสน ก่อนลดดีกรีเป็นเพลงช้าด้วย Taxi Cab จากนั้นก็เล่นเพลงจากในอัลบั้มปนกับเพลงใหม่ ก่อนมาเร่งกันอีกครั้งด้วย The Loving Sound of Static ที่กลุ่มคนแถวหน้าที่ยืนอยู่รวมถึงตัวผม ออกลีลากันสุดขีด และบางเบาเพราะมีอยู่แค่นั้น ก่อน Mobius Band จะเล่นอีกหนึ่งเพลงก่อนอำลาอย่างรวดเร็ว

แล้ว City vs Country ล่ะ แล้ว Radio Coup สุดมันล่ะ

ผมยืนค้างงงๆปนเซ็งๆ เดินออกมาจากส่วนเวที ไปเจอ Ben Sterling ยืนขายซีดีอยู่ ด้วยว่ายังรู้สึกเหมือนอารมณ์ค้าง เลยเดินเ้ข้าไปคุยด้วยแบบเอ๋อๆ นึกแล้วยังประหลาดใจตัวเอง กล่าวทักทายก่อนเริ่มด้วยการบ่นว่าทำไมถึงเล่นสั้นจัง ยังไม่ทันได้ฟัง Radio Coup เลย Ben Sterling ยิ้มแห้งๆขอโทษกลับมา บอกว่ามีปัญหาเรื่องเวลา จากนั้นก็ได้คุยกันอีกเล็กน้อย แต่ไม่ได้มีสาระอะไร เพราะเกิดตื่นเต้นซะมากกว่า มานึกได้ทีหลังว่าอยากจะถามอีกหลายอย่าง แต่โอกาสนั้นคงลาลับไปแล้ว

เหลือบไปเห็นเสื้อยืด Mobius Band นึกอยากสนับสนุน แต่ไร้ซึ่งเงินสด และมาตรฐานชะตากรรมโลกที่เครื่องกดเงินอัตโนมัติที่อยู่ใกล้จะต้องเสียเสมอไป ท่าทางผมคงออกเสียดายจัด Ben Sterling เลยบอกว่าซื้อผ่านเว็บก็ได้นะ ผมตอบตกลง จับมือกันหนึ่งทีก่อนต้องลาจาก สังเกตจากหน้าตาแล้วคงผิดหวังพอควรกับจำนวนคนดูวันนี้...

ถ้าสนใจลองไปฟังกันได้ที่ myspace ตามธรรมเนียม หรือจะดูมิวสิควิดีโอที่ YouTube ก็ไม่เลว ถ้าชอบทางวงปล่อยให้โหลดกันได้ฟรีสองเพลงที่ last.fm สุดท้ายถ้าชอบมาก buy ghostly เค้าส่งทั่วโลกนะ

12 October 2006

Still Thrilled

The Stills

หาตั๋วได้แบบฉุกละหุกพอตัว เพราะตอนพบเห็นเกิดไม่แน่ใจว่าจะใช่วงเดียวกันหรือไม่ แต่พอแน่ใจแล้วก็ไม่รอช้า จัดการเสร็จล่วงหน้าอยู่เพียงฉิวเฉีัยด มารู้ทีหลังว่าไปซื้อหน้าทางเข้าก็ยังไม่สาย แต่ซื้อได้ก่อนล่วงหน้าก็อุ่นใจดี

ตั้งใจว่าจะไปดู Land of Talk ที่ไม่ได้รู้จักมาก่อน แต่ไปแอบลองฟังมานิดหน่อย ก็คิดว่าไม่เลว แต่เพราะสับสนเวลาเริ่มไปนิดหน่อย บวกเส้นทางสายใหม่เลยพาตัวเองไปไม่ทันฟัง แต่ทัน The Stills เริ่มเล่นพอดิบพอดี

เป็นครั้งแรกที่ได้ดูแสดงสดตรงเวลา สองทุ่มตามที่บอกก็เล่นกันทันที ไม่ต้องยืนรอกันเมื่อยให้เหนื่อยใจ เปิดกันด้วย The Beginning ให้สมชื่อ สารภาพว่าตอนนั้นยังทำธุระส่วนตัวอยู่เลย เลยต้องฉุกละหุกเร่งรีบอยู่ไม่น้อย ก่อนออกไปพบฝูงชนหนึ่งหยิบมือ ประมาณด้วยสายตาคาดว่า คงไม่เกินห้าสิบคน ประหลาดใจเล็กน้อย แต่จำนวนคนก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร

หลายๆวงเวลาเล่นสดมักจะพยายามดัดเสียงร้องและดัดแปลงดนตรีให้ออกมาต่างจากตอนอัดเสียงในสตูดิโอ เป็นการสานความตั้งใจในการแสดงสด ที่หลายวงมักเอาอย่าง The Stillls เองก็เช่นกัน ที่ฟังแล้วแตกต่างจากตอนอยู่บ้าน แต่เป็นความแตกต่างที่น่าปลาบปลื้มเพราะ ฟังแล้วดีกว่าในซีดีอย่างมากมาย ทั้งเสียงร้องและดนตรี ชวนให้คุ้มที่ฝ่าอากาศหนาวมา

The Stills จัดเพลงเร็วมาเล่นอย่างต่อเนื่อง The Mountain, Oh Shoplifter, It takes time, Love & Death, Lola Stars And Stripes, Yesterday Never Tomorrows, Baby Blues และเพลงที่ไม่มีทางพลาดอย่าง Changes Are No Good การแสดงผ่านไปอย่างรวดเร็วและเมามัน

ก่อน Dave Hamelin จะทำลายความสนุกด้วยการประกาศว่าจะเล่นอีกแค่เพลงเดียว ให้โอกาสเลือกเพลงมาโดยไว เสียงตะโกน Destroyer โผล่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผมนึกเห็นด้วยอยู่ในใจ มาคิดได้ทีหลังว่าทำไมไม่ผสมโรงตะโกนตามไปด้วย สุดท้าย The Stills เลยเลือกเพลงอื่นเป็นการปิดท้าย คงเพราะเห็นว่า Destroyer อาจจะไม่เหมาะกับการเล่นปิดท้าย

ไม่จริงเสียหน่อย ผมใส่้เหตุผลให้คนอื่นและตอบให้เองเสร็จสรรพ

คอนเสิร์ตจบแล้ว สมาชิกในวงก็มานั่งเก็บของลงจากเวทีกันอย่างไม่ให้เสียเวลา สาวๆและไม่สาวบางคนเลยได้โอกาสไปขอถ่ายรูปด้วย ส่วนผมไม่ได้พกอะไรไป เลยต้องกลับบ้านแบบมือเปล่า น่าเสียดาย น่าเสียดาย

นึกถึงตอนนี้ ก็ยังอยากมีโอกาสได้ไปดูอีกซักครั้ง

05 October 2006

-.-.--.-

"CQ" is the Morse code phrase for "seek you"

แล้วนี่ก็คงเป็นร่องรอยอันสุดท้ายแล้วสินะ



ได้ฟังซาวด์แทรก CQ ก่อนหน้ามายาวนาน แต่ไม่มีโอกาสได้ดูตัวหนังเสียที จนคิดอยากจะแต่งเรื่องราวมาตอบรับกับบทเพลงสวยหวานที่ฟังจนขึ้นใจ

เำำพราะแ่ผ่นดีวีดี CQ เดินทางติดขัดล่าช้า จนเวลาสุดจะล่วงเลย ครั้นพอจะมีโอกาสได้หยิบมาดูจริงๆ ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ว่าเรื่องราวที่จินตนาการไว้จากเมื่อครั้งฟังเพลง กับเรื่องราวที่แท้จริงจะเป็นอย่างไร ดูแล้วขั้นตอนมันก็กลับๆกันดี

เรื่องราวในตัวหนังที่พอจะรู้มาก่อน ก็คือเป็นเรื่องเกี่ยวกับคนทำหนัง กับหน้าปกดีวีดีรูปสาวสวยชวนให้ดูเข้าใจผิด

เมื่อเปิดดูจริงๆพบว่า CQ ว่าด้วยการสร้างหนังวิทยาศาสตร์ ซึ่งถ่ายทำกันในปี 1969 ว่าด้วยเรื่องของสายลับรหัส Dragonfly ในโลกอนาคตปี 2001! CQ ซ้อนกันด้วยเรื่องราวของถ่ายทำหนัง กับชีวิตของพอลที่พยายามจะถ่ายทำหนังสารคดีเกี่ยวกับชีวิตของตัวเอง

แม้ว่าเนื้อเรื่องจะต่างจากที่จินตนาการเอาไว้เองในตอนแรก แต่ตัวหนังก็ทำออกมาได้สนุกเพลิดเพลิน คลอไปกับเพลงประกอบจาก Mellow ที่ดีเพียงพอในตัวเองอยู่แล้ว พูดไม่ไ้ด้เต็มปากว่าเป็นหนังที่ดีเลิศ แต่ผมก็ชอบมันมากอยู่ดี

หลังจากดูจบด้วยเครื่องฉายที่หยิบยืมมา ซึ่งช่วยเพิ่มอรรถรสในการชมได้เป็นอย่างดี สารภาพว่าภาพที่ติดตาภายหลังมีเพียงแต่ Dragonfly สายลับแห่งโลกอนาคต :)


ตัวอย่างหนัง
ฉากเปิดตัว

05 September 2006

Riding Horses

Band of Horses in the concert

"คุณครับ มาคนเดียวเหรอครับ"

ผมยืนพิงกำแพงรอเวลาอยู่นานไม่น้อย แทบไม่อยากบอกเลยว่า ผมมาถึงเป็นคนแรกเลยทีเดียว

เมื่อความเมื่อยมาเยือนจนได้ที่ ผมหันเหความสนใจของร่างกายตนเองไปยังสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ผู้คนค่อยๆทยอยเข้ามากันหลังจากเวลาผ่านไปเรื่อยๆ ช่วยให้อุ่นใจขึ้นมา ว่าไม่ได้อยู่ผิดงาน วงเปิดวงแรกผ่านไป วงเปิดวงที่สองผ่านไป ผมยังเห็นเธอยืนนิ่งใต้ควันเทา

บนเวทีเริ่มมีการขยับสับเปลี่ยน กีตาร์หลากชนิดจนน่าตกใจถูกนำมาวงเรียงรายรอเวลาออกแสดง ผมตัดสินใจลาจาก พาตัวเองขึ้นมาด้านหน้าให้สมกับที่รอมานาน แต่การรอคอยยังคงอยู่อีกครู่ใหญ่ จนผู้คนเริ่มเป่าปาก ผมขยับตัวแก้เมื่อย พลันหันมองไปด้านหลัง ผู้คนเริ่มหนาแน่น แต่เอ๊ะเธอยังอยู่ที่เดิมสินะ

เสียงคนเฮบอกให้รู้ว่าทุกอย่างพร้อมแล้ว เปิดตัวเพลงแรกกันด้วย The Funeral ก่อนตามมาด้วย Wicked Gil สองเพลงโปรดผ่านไปอย่างรวดเร็วก่อนตามด้วย The First Song ลำดับหลังจากนั้นต้องขออภัย ที่สมองผมบางส่วนแปรสภาพเป็นเพียงก้อนไขมันไปอย่างรวดเร็ว Ben Bridwell วันนี้ออกจะหงุดหงิดกับเรื่องเสียงกีตาร์นิดหน่อย แต่ดนตรียังคงเดินหน้าต่อไป เพลงในอัลบั้ม Everything All The Time อย่าง Our Swords, The Great Salt Lake, Part One, Monsters หรือที่ไม่มีทางพลาดอย่าง Weed Party ก็ทยอยออกมาปนไปกับเพลงใหม่หรืออาจจะเป็นเพลงเก่าที่ผมไม่เคยฟังมาก่อน เสียดายแต่ St. Augustine ที่ไม่มีโอกาสไ้ด้ฟังกันแบบสดๆ

แม้จะเป็นคอนเสิร์ตบนสถานที่เล็กๆแต่ก็ยังขอมีอังกอร์กันตามธรรมเนียม หลังจากนั้นคอนเสิร์ตที่รอคอยก็จบลง ผู้คนพากันทยอยกลับ ผมลองมองไปตามกลุ่มคน เธอคนนั้นคงจากไปแล้ว ผมแวะเข้าห้องน้ำก่อนหาทางกลับแบบเหงาๆ

ผมบอกไปรึยังนะว่าผมไปดู Band of Horses มา


ตัวอย่างการแสดงสดจากที่ต่างๆ
The Funeral
Wicked Gil
The Great Salt Lake
Weed Party

03 September 2006

Baby, baby, never let me go

Never Let Me Go

ชีวิตที่มีจุดจบอันเป็นนิรันดร์พาให้ร่างกายผมสั่นสะท้าน
ผมเดินทางผ่านบรรทัดสุดท้ายไปได้ครู่ใหญ่แล้ว แต่ยังคงนั่งนิ่งไม่ไหวติง
ผมมองไปที่ตู้อบผ้าเบอร์ 65
เสื้อผ้าที่อบไว้คงถูกคลื่นความร้อนบวกการหมุนวนทำให้แห้งเรียบร้อยแล้ว

ผมพลิกดูให้แน่ใจว่าหลังบรรทัดสุดท้ายอันโหดร้าย จะไม่มีเรื่องราวใดๆเพิ่มเติม ก่อนจะเก็บหนังสือใส่กระเป๋า เดินไปหยิบเสื้อผ้ามากอง ก่อนค่อยๆพับให้เรียบร้อย เป็นการกำจัดขั้นตอนการรีดไปในตัว
จำไม่ได้แน่ว่าใครบอกไว้ว่า ชีวิตสั้นเกินกว่าจะมารีดผ้า
ตอนนี้ผมเดินตามทางนี้อย่างเคร่งครัดและซื่ืื่อตรง

Never Let Me Go เป็นหนังสือเล่มแรกของ Kazuo Ishiguro ที่ได้หยิบมาอ่าน แม้ชื่อหนังสือจะขัดกับการเดินทางของผมอย่างจงใจ แต่ผมก็เลือกจะหยิบมาอ่านเป็นเล่มแรก ทฤษฎีต่างๆที่โผล่ขึ้นมารองรับประเด็นต่างๆในเีืรื่องราวช่างหฤหรรษ์และเฉียบขาด

แม้เคยได้ยินมาก่อน ว่าบทสุดท้ายของหนังสือ Never Let Me Go
แสนเศร้าและน่าพรั่นพรึง พอได้พบผ่านด้วยตัวเองแล้วนั่นไม่ใช่คำพูดเกินเลย
แม้ว่าเมื่อเริ่มอ่านจะมองเห็นเส้นทางไปถึงบทสุดท้าย
แต่ก็ไม่สามารถจะสะกดความเศร้านั้นไว้ได้เมื่อเดินทางไปถึงบทสรุป

เสื้อผ้าถูกพับเรียบร้อยชนิดพร้อมออกวางขาย บรรจงหยิบใส่กระเป๋าแล้วเดินจากร้านซักรีดออกมา พลันคิดถึงของบางชิ้นที่ทำหายไปแ้ล้ว ก็นึกอยากออกไปตามหาที่ Norfolk บ้าง เหลือเกิน

ปล. จะว่าไป ไม่เคยรู้มาก่อนว่าอ่านหนังสือในร้านซักผ้าช่างเพลิดเพลินนัก คนเดินเข้าออกให้ขวักไขว่ เสื้อผ้าไหลวนไปกับสายน้ำ รอเวลากลับฟื้นคืนสะอาด เสียงแม่บ้านจับกลุ่มคุยกันจ๊อกแจ่กให้ิอุ่นใจ ใครอยากลองก็ขอเชิญ

31 August 2006

The First Song

A plane in the sky

"แค่สูดอากาศที่นี่ ผมก็คิดว่าคงจะกระโดดได้สูงขึ้นแล้ว"

หลายปีก่อนผมเคยเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ทุกอย่างแปรเปลี่ยนได้ง่ายดาย

ไม่แปลกนักเพราะทุกอย่างรอบด้านแตกต่างจากเดิมเกินกว่าแค่จะเรียกว่าพลิกผัน ถึงจะคาดการณ์ไว้บ้าง แต่ถึงเวลาจริงทุกอย่างก็ดูมากมายเกินกว่าที่คิด

ผมลองเดินออกมารอบๆ มองคนเดินไปมาก็เริ่มสับสนเล็กน้อยว่าตกลงกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่ ก่อนจะเริ่มกล่าวทักทายไปทั่วแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับ แท้จริงถ้ามีการตอบรับคงน่าแปลกใจกว่าเพราะที่ทำไปเพียงแค่ทักทายในใจ สามัญสำนึกทุกอย่างบนมิตินี้โผล่ขึ้นมาย้ำเตือนว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดใด หากทุกอย่างยังคงเดินไปในรอยเดิม

ความขี้เกียจกับความกลัว สองอย่างที่คอยคุกคามดำเนินงานได้สวยงามไม่ผิดเพี้ยน ผมคงติดกับดักแห่งความขี้เกียจเข้าไปแบบไร้ทางถอน แม้จุดประกายดีๆจะเปิดช่องอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ปล่อยให้มันดับไปแบบเฉื่อยชา ทุกอย่างยังคงดำเนินไปแบบเดิมๆ เดิมๆ

แต่บางครั้งเรื่องราวที่แอบคิดแอบคาดหวังไว้ก็โผล่ขึ้นมาได้ดั่งใจ จากนั้นชิ้นส่วนต่างๆก็เผยตัวออกมากันได้อย่างไม่ยากเย็น ขาดเพียงบางชิ้นที่อยู่ไกลออกไป หรือบางชิ้นที่ยังไม่ถึงเวลามา เรื่องราวบางเรื่องก็ลงตัวไปได้ง่ายๆแบบนี้


บางทีอาจจะเพราะพกความเคยชิืนมามากเกินไป จนชิ้นส่วนบางส่วนที่เข้ามาดูคล้ายเป็ินชิ้นส่วนจากต่างดาว แม้จะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าอาจจะเคยมีโอกาสได้เยี่ยมแวะดาวดวงนั้นมาบ้าง แต่ก็คงเพียงแค่นั้น


แม้ชิ้นส่วนที่ประกอบขึ้นมาอยู่ตอนนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไร แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถึงชิ้นส่วนจะขาดหายเพิ่มไปอีกบ้างก็คงไม่เป็นไร ผมกำลังจะเดินตามรอยเดิมบนสถานที่ใหม่เหรอ ไม่หรอก สถานที่นั้นเพียงแค่ข้ออ้าง

13 August 2006

321...Zero



เวลายังคงเดินหน้าทำงานอย่างซื่อสัตย์ ขณะที่ความคืบหน้าในการเก็บข้าวของของผมเดินหน้าไปแบบช้าๆ จนเวลาที่น่าจะเหลือไว้ืำทำเรื่องต่างๆถูกจำกัดลงไปอย่างมากมาย

สมัยก่อนผมตีความตัวเองเป็นพวกวัตถุนิยม ชมชอบในข้าวของนอกกาย จนมาตอนนี้คิดว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว แต่พอได้เห็นข้าวของกองรอบกายตอนนี้ ผมคงต้องขอทบทวนความคิดใหม่อีกครั้ง

ผมเคยเล่าอาการวัตถุนิยมของตัวเองให้คนอื่นฟัง เค้าว่าอาการระดับผมถือว่าแค่ขั้นเด็กประถมต้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องแบบนี้เอามาตรฐานแบบไหนมาวัดถึงจะดี ถ้าเทียบกับบางคนผมอาจดูอุดมไปด้วยสิ่งของนานาภัณฑ์ แต่กับบางคนผมคงแค่ระดับพอเพียง

คิดไปคิดมาเอาแค่ว่าสามาีรถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องลำบากเกินไปก็คงจะพอแล้ว

สารพัดข้าวของถูกนำมาเทกองรวมกันอย่างอุตลุด จนผมนึกถอดใจกับเวลาที่เหลืออยู่ โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือ สุดท้ายทั้งข้าวของและที่ไม่ใช่ก็ถูกจัดเก็บลงไปได้ด้วยดี

เสียดายแต่บางอย่างไม่อาจจะจัดเก็บลงไปด้วยได้

บางอย่างไม่มีโอกาสแม้แต่จะกล่าวลา

เวลาเดินหน้าถอยหลังลงเรื่อยๆ ผมสำรวจตัวเอง แลเหมือนจรวดรอคอยอยู่ที่แท่นแห่งความฝันที่คนมากมายคาดหวังไว้ เรื่องบางเรื่องมันก็เล็กกว่าที่คิดและก็ใหญ่กว่าที่คิดในคราวเดียวกัน ผมคิดแค่เตรียมจะได้พบกับการเดินทางครั้งใหม่ ที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะเป็นอย่างที่เคยคาดหวัง

ผมเดินรอบบ้านของตัวเอง ทักทายไปทั่วเหมือนจะได้รับการตอบรับบางอย่างกลับมา แปลกดีที่ผมไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกหรือลิงโลดอะไรมากมายอย่างที่เคยจินตนาการไว้ในกาลก่อน

ผมเคลื่อนกระเป๋าหนักอึ้งเดินออกไปอย่างรวดเร็ว กลับกันกับความคิดต่างๆที่เริ่มทำงานอย่างเชื่องช้า ก้าวสุดท้ายที่ก้าวออกไปผมคิดแค่ว่า

แล้วพบกันอีกนะ

09 August 2006

Universal Human Characteristic

มนุษย์รีดเร้น ใช้เวลานอน 1/6 วัน
มนุษย์ขยัน ใช้เวลานอน 1/4 วัน
มนุษย์ปกติ ใช้เวลานอน 1/3 วัน
มนุษย์เกียจคร้าน ใช้้เวลานอน 1/2 วัน

อาการขาดหายของผมช่วงนี้คงไม่ต้องบอกว่าจะไปตกอยู่ในช่องไหน

ลุ่มหลงมัวเมากับการหลับใหล ผจญภัยค้างเติ่งอยู่ในความฝัน น่าเสียดายว่าเรื่องราวหลากหลายที่น่าเพลิดเพลิน กลับตกค้างอยู่ในหัวสมองบริเวณลึกลับ ที่ยังหาทางขุดกลับคืนมาไม่ได้

เรื่องราวความฝันที่จำได้เลยกลับกลายเป็นเรื่องราวของคนอื่น มีคนเล่าว่าได้เจอหญิงสาวคนหนึ่งในความฝัน แต่ก็มีสติอยู่ว่านี่เป็นเรื่องราวในความฝัน เมื่อลืมตาเธอคนนั้นคงหายไป เค้าเลยนัดหมายกับหญิงสาวให้ไปเจอกันที่ป้ายรถเมล์ตอนแปดโมงเช้า

วันนั้นเค้าเลยแทบจะตื่นเช้าที่สุดในชีวิต แต่เรื่องราวความฝันก็ยังคงรักษาตัวไว้อยู่ที่เดิม

ใช้ชีวิตพัวพันมัวมันกับการหลับนอนแบบนี้ ชวนให้นึกถึงหนังน่าทึ่งที่แนะนำว่าควรดู เรื่อง Waking Life กำกับโดย Richard Linklater ตั้งแต่ปี 2001 นู่น มี Jess กับ Celine จาก Before Sunrise มาพูดคุยกันต่อในเรื่องนี้ด้วยนะ

ในหนังมีคำถามว่า What is the most universal human characteristic - fear or laziness ?
มองดูตัวเองในสภาพเอนเอียงแบบนี้คงตอบไม่ได้ดี คุณๆล่ะคิดว่าอะไร

พอตั้งสติกลับมาได้อีกเล็กน้อยก็ยังคงวนเวียนอยู่กับการหลับใหล เมื่อหนังเรื่องใหม่ของ Michel Gondry ที่คงโผล่มาให้ชมในอีกไม่ช้ากับ The Science of Sleep ที่มีพล็อตเรื่องถูกใจ(อีกแล้ว) อยากรู้ว่าเป็นยังไง ขอเชิญไปชมตัวอย่างหนังน่าดูกันได้ที่นี่

อยู่กับเรื่องง่วงเหงาหาวนอนมาพอดู ถึงเวลาต้องลุกขึ้นมาขยับกาย เพราะวันนี้แล้วที่ Keane จะมาแสดงคอนเสิร์ตในไทยอย่างที่ใครหลายคนเฝ้าใฝ่ฝันรอ ขอลองไปปิดสวิตช์ไฟดูเสียหน่อย ถ้าไฟปิดได้จริงเราคงได้ไปร้องเพลงด้วยกัน

10 June 2006

It's The Way of Celebrating Life

วันนี้ลองซ้อมรับมือกับเวลาว่างที่กำลังจะได้เพิ่มมาอย่างมากมาย ผมลองทอดหุ่นนั่งดูโทรทัศน์ีกะจะให้สบายๆ รายการโทรทัศน์วันนี้มีให้เลือกมากกว่าครึ่งร้อย ผมกดจนเมื่อยก่อนมาหยุดอยู่ที่หนังเรื่องหนึ่ง นำแสดงโดย The Rock อ่านไม่ผิดหรอกครับ นักมวยปล้ำกล้ามโตคนนั้นนี่เอง ผมมารู้เอาทีหลังว่าหนังเรื่องนี้ชื่อ Walking Tall

ช่างเป็นหนังที่ดูแล้วมีอารมณ์พลุ่งพล่านจริงๆ ดูจนจบแล้วยังสงสัยอยู่ว่าตกลงเมืองในเนื้อเรื่องนั้นอยู่ในอเมริกาแน่เหรอ

ผมเกลือกกลิ้งดูโทรทัศน์ต่อไป รีโมทยังคงทำงานอย่างหนักหน่วงก่อนมาหยุดที่หนังอีกหนึ่งเรื่อง หนังเรื่องนี้ชื่อ Footloose นำแสดงโดยเควิน เบคอนที่หน้าสุดจะเอ๊าะเพราะหนังเรื่องนี้ออกฉายครั้งแรกเมื่อปี 1984 ถ้ามีใครได้ดูเรื่องนี้ในโรงหนังโปรดแสดงตัวด้วย

เควิน เบคอนรับบทเป็น เรน หนุ่มไฮสคูลที่ต้องระหกระเหินตามแม่จากเมืองใหญ่อย่างชิคาโก มายังเมืองเล็กๆที่มีกฏระเบียบสุดเฮี้ยบ เหตุเพราะเมื่อห้าปีก่อน วัยรุ่นกลุ่มหนึ่งขับรถขณะมึนเมาจนเป็นเหตุให้เสียชีวิต ปฏิกริยาที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นคือหนทางสุดโต่ง ผู้ใหญ่ในเมืองพากันต่อต้่านอบายมุข สิ่งของมึนเมา รวมไปถึงต้นทางที่อาจจะนำพาไปสู่อบายมุขเหล่านี้อย่างการเต้นรำด้วย?!

ช่างระแวดระวัง รอบคอบยิ่งนัก เหมือนสถานการณ์ที่เกิดขึ้นใกล้ๆนี้ไม่น้อย

เผอิญว่าพระเอกของเราเป็นนักเต้นเท้าไฟ เมื่อต้องมาอยูในเมืองแห่งนี้ คงเดากันไม่ยากว่าเรื่องราวต่อไปจะเป็นยังไง


ไม่รู้ว่าเพราะเก่าจัดจนแทบจัดขึ้นหิ้ง หรือถูกใจที่ได้เห็นดาราืที่รู้จักสมัยนี้หลายคนเล่นหนังแบบยังหน้าเด๋อๆ แต่ผมก็ดูเรื่องนี้อย่างเพลิดเพลิน

แค่ฉาก เรน เต้นระเบิดอารมณ์ในโกดังเร้นลับ ด้วยลีลาเกินมนุษย์ก็พาให้ทึ่งอึ้งน่าดู หรือจะลีลาท่าเต้นสุดทันสมัย ที่แต่ละคนพากันวาดลวดลายแบบลืมอาย ก็คุ้มอยู่ไม่น้อย

ส่วนถ้าใึีครได้ดูแล้วคิดอยากเอาอย่าง แนะนำว่าให้เปลี่ยนเพลงจากยุค 80's เป็น Phoenix ชุด It's Never Been Like That ส่วนท่าเต้นขอให้คิดกันเอาเอง ขอแต่ฟังแล้วอย่านิ่งเฉย แค่เต้นให้เมามันเข้าไป มีท่าแจ้งเกิดเมื่อไร จะเอามาอวดบ้างก็ยินดี


Footloose     It's Never Been Like That

18 May 2006

Summer...It*S Gone

Sun...It's gone

เพราะตึกที่ใช้เวลาอยู่ช่วงกลางวันออกแบบมาให้เฉยชากับกับสิ่งแวดล้อมภายนอก เมื่อวานตอนเย็นกว่าจะรู้ตัวว่าฝนตกไปหนักขนาดไหนแล้ว ก็ต้องรอให้ลงมาถึงชั้นล่างเสียก่อน ท่าทางฝนคงจะตกลงมานานพอควร ดูได้จากน้ำที่เจิ่งนองตามพื้น ตึกที่ดูเหมือนว่ามีการออกแบบก่อสร้างมาอย่างดี ก็มักจะแสดงคุณภาพที่แท้จริงกันตอนนี้ ลมพัดพาอากาศเย็นฉ่ำชุ่มชื้นมากระแทกกายซ้ำอีกทีสองที เป็นสัญญาณสำหรับผมว่าฤดูฝนเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว

ฝนที่ตกยาวนานในกรุงเทพเหมือนเป็นสัญญาณสำคัญ ให้รถแท๊กซี่ที่เคยเกลื่อนกลาดพากันหลบซ่อนตัวอย่างมิดชิด ผมเลยตัดสินใจพาตัวไหลเป็นตามเส้นทางขนส่งหลักต่างๆแทน ผู้คนยืนหลบฝนตามที่ต่างๆด้วยอารมณ์ข้างในที่ร้อนรุ่ม ขัดกับอากาศภายนอกโดยสิ้นเชิง

หลังจากผ่านเส้นทางเฉอะแฉะไปได้ด้วยวิธีการหลายหลาก ตัวช่วยทั้งหลายก็หมดลงตอนใกล้จะไปถึงที่หมาย เลยได้แต่กางร่มคันเล็กๆเดินฝ่าสายฝนเข้าไปแบบสิ้นคิด ถึงร่มคันนึงจะช่วยกันฝนอะไรไม่ได้มากมาตั้งแต่มันถูกคิดค้น แต่ก็ยังพอจะคุ้มหัวให้ผมพอจะฟังเพลงให้ใจครึกครื้นได้บ้าง เดินไปได้พักหนึ่งก็ลองมองไปรอบตัวแต่ก็ไม่พบเจอผู้ใด คงมีแต่คนสิ้นคิดเท่านั้นที่มาเดินลุยกลางฝนแบบนี้ แต่ถึงตรงนี้แล้วก็ดูจะไม่เหลือทางเลือกอะไรอีกต่อไป ก็ได้แต่จำทนเดินฝ่าสายฝนต่อไปแบบเดียวดาย

อวัยวะหลักหนึ่งเดียวที่เหลือว่างอยู่ของตัวผมตอนนี้ก็มีแต่ปากเท่านั้น เพื่อเป็นการปลอบใจอวัยวะส่วนอื่นที่กำลังทำงานอย่างหนัก ผมเลยแหกปากร้องเพลงแบบไม่เกรงใจผู้คน ด้วยเข้าใจว่าฝนที่ตกหนักอยู่ตอนนี้คงกลบเสียงน่าอายของตัวผมได้เป็นอย่างดี

ถึงที่หมายแล้ว ผมไม่แน่ใจว่าถ้าฝนไม่ได้ทำท่าจะเบาลงแล้ว ผมจะยืนร้องให้มันจบเพลงก่อนรึเปล่า

ผมจัดการรีดน้ำออกจากตัวและสิ่งของรอบกาย ของบางอย่างในกระเป๋าผมได้รับผลกระทบไปเล็กน้อย ผมคิดหาทางกู้กลับมาอยู่หลายวิธี มารู้เอาทีหลังว่ามันไม่ได้มีความสำคัญอะไรอีกต่อไปแล้ว

ไม่แน่ใจว่าผมได้ไปโชว์ลีลานักร้องต่อในฝันรึเปล่า รู้แต่ว่าคืนนั้นผมหลับไปแบบไม่ทันรู้ตัว

.

ตื่นเช้ามาเจอเรื่องน่าผิดหวังครั้งใหญ่แบบไม่ทันตั้งตัว ผมลองลงไปนอนเกลือกกลิ้งใหม่อีกรอบแต่นั่นก็ไม่ได้ช่วยอะไร ผมลองค้นหาตัวช่วยที่อาจจะทำให้ดีขึ้นได้แต่ก็ต้องถูกปฏิเสธซ้ำเติม ชิ้นส่วนบางส่วนในตัวผมคงจะหลุดออกมาแบบง่ายๆถ้าใครมาแตะตัวผมตอนนั้น

ผมลองมองออกไปดูท้องฟ้า ฝนทำท่าจะตกลงมาอีกแล้ว

.

รถบนถนนตอนนี้ค่อยๆเคลื่อนตัวอย่างช้าๆเพราะฝนตกหนัก จนแอบคิดว่านี่คงไม่หนีไปจากฝนที่โนอาห์เจอสักเท่าไร ที่ปัดน้ำฝนหน้ารถกำลังทำหน้าที่อย่างขันแข็ง แต่ก็ไม่ช่วยให้มองเห็นทางข้างหน้ามากเท่าไร ผมนึกถึงฉากในหนังเรื่อง Psycho ที่ตัวละครในเรื่องขับรถฝ่าสายฝนพร้อมกับเงินก้อนโตที่แอบยักยอกมา โดยมีปลายทางเป็นความฝันครั้งใหญ่ ผมลองสำรวจในกระเป๋าเงินดูบ้าง มีเหลือแค่พออยู่รอดไปวันๆเท่านั้น ปลายทางล่ะ ผมพยายามลองตั้งสติเพ่งดูอีกที ก็พบแต่สายน้ำที่ถาโถมเข้ามาอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย

ฤดูร้อนจากไปแล้ว ผมเริ่มถอดใจไม่รู้ว่าสุดท้ายจะพาตัวเองไปได้ไกลถึงไหน

.

ตอนนี้ผมรู้แค่ว่านี่เป็นฤดูฝนที่ผมเกลียดที่สุดตั้งแต่เคยมีมา


Just Like the Fambly Cat

14 May 2006

Logic Will Break Your Heart

Hero Reina

เหมือนเห็นภาพย้อนกลับจากปีที่แล้วอีกครั้ง

เปิดฉากอย่างย่ำแย่ จนทำให้ความตั้งใจที่จะปิดฉากเกมสุดท้ายที่สนามมิลเลนเนียมแบบเท่ๆเริ่มริบหรี่ แต่ความเหลือเชื่อมากมายของเกมลูกหนังยังคงดำเนินต่อไป ขอแค่ยังไม่ละทิ้งความหวัง ด้วยโอกาสที่ยังมี เรื่องราวทุกอย่างยังคงเป็นไปได้

พยายามจะบังคับตัวเองให้เอาความคิดแบบนี้มาใช้บ้าง แต่ความคิดขัดขืนในใจยังคงทำงานอย่างขันแข็ง

เกมฟุตบอลถูกจำกัดด้วยเงื่อนไขของเวลาที่แน่นอน
ถ้าเชื่อตาม Death Note เรื่องราวที่ดำเนินไปเรื่อยๆของตัวเราก็มีเวลาจำกัดเหมือนกัน

ต่างกันตรงที่เรายังไม่ได้รู้จุดจบเวลาของตัวเรา

ถ้ามองในแง่ดีเราน่าจะมีเวลาเหลือเฟือในการแก้ไขเรื่องราวต่างๆ อุปสรรคหนักหนาที่คอยขัดขวางก็มีแต่เพียงตัวเราเท่าันั้น

ถ้ามองไปตามตรรกะ จะกำจัดอุปสรรคได้ก็ต้องกำจัดตัวเราออกไป แต่ถ้าตัวเราไม่ใช่ตัวเราแล้วเราจะกลายเป็นใครไปแทน

นึกหวงแหนตัวตนของตนเองขึ้นมาอย่างกระทันหัน

ดังนั้นเพื่อให้ตัวเรายังเป็นตัวเรา อุปสรรคจะยังคงถูกเก็บไว้ จนกว่าจะมีหนทางที่ดีกว่าเข้ามาให้เลือก

หนทางแสนสบายยังคงเดินต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง โดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าช่วงเวลาที่คิดว่าเหลือเฟือนั้นจะหมดลงไปเมื่อไหร่

30 April 2006

Stadium Arcadium

หลัง​จาก​มิวสิควิดี​โอแสนเรียบง่ายแต่​เพลง​เพราะ​ You're All I Have ​ของ​ Snow Patrol ​ซิงเกิ้ลแรก​จาก​อัลบั้ม​ใหม่​ Eyes Open ​จบลง​ ​ภาพของเพลงต่อไปก็ขึ้นมาดู​เป็น​แนวย้อนยุค​ ​ใน​ใจผมคิดว่าคง​เข้า​ฟอร์มช่อง​ VH1 ​ที่ชอบเปิดเพลงกระชากยุคสมัย​

​ตั้งใจ​จะ​เดินไปปิดทีวี​ให้​เรียบร้อย​ ​เหลือบไปเห็นหน้านักร้องนำ​และ​สมาชิกวงที่ดูคุ้นตา​ ​ตกใจ​เล็ก​น้อยว่า​ไปรู้จักวงโบราณแบบนี้ตั้งแต่​เมื่อไหร่​ ​พอไฟฟ้าผ่านสมองขึ้นมากอีกหน่อยก็คิด​ได้​ว่า​ ​ที่​แท้​เป็น​ Red Hot Chili Pepper ​นี่​เอง​ ​กับ​ซิงเกิ้ลแรก​ Dani California

​มิวสิควิดี​โอ​ Dani California ​จับสมาชิก​ใน​วงมา​แต่งตัว​เป็น​วงดนตรีตามยุคต่างๆ​ ​และ​แต่ละคน​ใน​วงก็สวมบทบาท​กัน​ได้​อย่าง​ถึง​ใจ​

Elvis Presley, The Beatles, The Cure, Sex Pistols, Nirvana ​และ​วง​อื่นๆ​ที่นึก​ไม่​ออก​ ​แต่ที่ขาด​ไม่​ได้​คือ​ ​ลีลาสุดเหวี่ยงของพวกเค้านั่นเอง​

​เพราะ​มีวงรุ่นเก่า​ไม่​กี่วงที่ทำ​ได้​เหมือน​ R.E.M. ​พวกเค้า​จึง​เป็น​วงที่มีีการสลับปรับเปลี่ยนสมาชิก​ ​ให้​วุ่นวาย​อยู่​ตลอด​ ​อัลบั้ม​ Stadium Aracadium ​ที่กำ​ลัง​จะ​ออกเดือนหน้า​ ​จะ​เป็น​งานสตูดิ​โอชุดที่​เก้า​ ​และ​เป็น​ครั้งแรกที่​ใช้​สมาชิกหน้า​เดิมออกงานติดต่อ​กัน​ได้​ถึง​สามชุด​ ​นับ​เป็น​การสร้างสถิติที่​แปลก​ใหม่​ได้​ดีที​เดียว​

Flea ​มือเบสของวง​ให้​สัมภาษณ์​กับ​ Rolling Stone ​ถึง​งานชุดนี้ว่า​ "the best thing we've ever done"


สุดท้ายจะออกมาเป็นยังไงไม่รู้ ​แน่นอนกว่า​นั้น​คือ​ ​ผมตัดสินใจ​ให้​ชุดนี้​เป็น​ชุดที่หน้าปกสวยน้อยที่สุดของ​ Red Hot Chili Peppers ​ตั้งแต่​เคยมีมา​

Stadium Arcadium CD cover

​แต่​ต้อง​ประหลาดใจยิ่งกว่า​เมื่อ​ได้​เห็นหน้าปกซิงเกิ้ล​ Dani California

Dani California CD cover


​ปล​. ​เห็นหน้านักร้องนำ​ Anthony Kiedis ​แล้ว​นึก​ถึง​หนังสือ​ Scar Tissue ​ที่​เคยนึกอยากอ่าน​ ​แต่​แค่หนังสือที่กอง​อยู่​รอบตัวตอนนี้ก็คงเพียงพอไป​ได้​อีกนาน​

28 April 2006

The End Is The Beginning Is The End



ตอนเช้า ปัดฝุ่นวิทยุกดมั่วๆไปหยุดอยู่ที่เพลง Writing To Reach You นึกประหลาดใจปนยินดี แต่โดนหักหลังอย่างฉับพลันโดยเพลง oasis ที่แทรกเข้ามา จริงๆแล้วรู้สึกจะเป็นเมดเล่ย์อะไรซักอย่าง นึกหงุดหงิดใจเลยหยิบไอพ็อดขึ้นมากะจะฟังต่อจากที่อารมณ์ค้างไว้ เพิ่งรู้สึกตัวว่าเราไม่ได้ใส่ Travis ไว้หรือนี่

ระหว่างทางที่ค่อยเดินคืบไปอย่างช้าๆ ผมนึกถึง Gilmore Girls เมื่อคืน
ลุกกับลอเรไลยังดูพอมีหวัง
มาร์ตี้สารภาพกับรอรี่แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว ก่อนจะต้องจากไปอย่างเดียวดาย ปล่อยให้รอรี่ตกร่องปล่องชิ้นกับโลแกนโดยสมบูรณ์

กลางวันผมกินข้าวแบบจืดชืดท่ามกลางผู้คนขวักไขว่จอกแจกจอแจ จนเสียงเพลงหายจากหัวผมไปในช่วงนี้



ตกเย็นผมมีเหตุให้เดินทางไกลแบบไม่จำเป็น เริ่มเพลิดเพลิน Elefant ก็ตอนที่ฟังวนมาถึงชุด Sunlight Makes Me Paranoid ผมคงต้องให้โอกาสชุดใหม่ The Black Magic Show อีกซักพัก หวังว่าจะกลับมาได้อย่างสวยงามเหมือน Love Travels At Illegal Speeds ของ Graham Coxon ที่ถูกเพิกเฉยในตอนแรกแต่ก็กลับมาชอบในตอนหลัง

ตกดึกผมนั่งนึกถึง 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนเดินเข้ามาและจากไปรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
บางครั้งเหมือนจะช้าแต่ก็เป็น 2 ปีที่เร็วพอดู

ผมดื่มฉลองแบบเงียบๆ

เวลาเดินมาชนขอบเขตที่ผมเคยวาดไว้แล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องเริ่มต้นวาดใหม่อีกครั้ง



เลยเที่ยงคืนไปไกลแล้ว ผมเปิด Keren Ann มากล่อมหลับ ฟังเสียงหวานๆแบบนี้แล้วหวังว่าจะได้นอนหลับฝันดี หลังจากหลับแบบไร้ฝันมานาน

ผมค่อยๆขดตัวนอนแบบมีความหวัง

26 April 2006

And I'm Exactly The Same Way

A Scene in Manhattan


บังคับตัวเองนั่งดูหนังของ Woody Allen สองเรื่อง

ไม่ใช่ว่าไม่อยากดู แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบผลักดันเรื่องราวที่อยากจะทำ ออกไปไกล จนเรื่องเหล่านั้นหลุดขอบออกไปไกล ชวนให้สงสัยในตัวเองทีหลัง ว่าแล้วอย่างนี้จะยังถือว่าเป็นเรื่องที่อยากทำได้อีกหรือไม่

ผมดู Annie Hall ก่อนจะต่อด้วย Manhattan

ใน Annie Hall วูดดี้ อัลเลนเล่นเป็น Alvy Singer ปัญญาชนวัยกลางคนขี้หงุดหงิด
ใน Manhattan วูดดี้ อัลเลนเล่นเป็น Isaac Davis กับบทบาทที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่ดูมั่นใจน้อยกว่า ดูน่ารักกว่าเล็กน้อย

ที่เหมือนกันคือล้มเหลวในการรักษาความสัมพันธ์ทั้งคู่

จริงๆแล้วต่อให้เป็นคนแบบไหน บุคลิกสมบูรณ์แบบยังไง การรักษาความสัมพันธ์กันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะเวลาที่คนใดคนหนึ่งเริ่มหยุดนิ่งแต่อีกคนปราถนาจะไปต่อ และจะแย่กว่านั้นหากเลือกไปในทางตรงข้าม


Annie Hall ดำเนินเรื่องด้วยคำพูดบาดใจตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง แต่ Manhattan ดำเนินเรื่องด้วยอารมณ์ที่พาพัดผ่าน

ที่เหมือนกันคือหนักไปทางเศร้าด้วยกันทั้งคู่


แม้ Annie Hall จะคมคายบาดลึก แต่ผมชอบฉากที่ Isaac วิ่งไปหา Tracy ตอนท้ายเรื่องใน Manhattan มากกว่า

และ Manhattan ก็โรแมนติกกว่าจริงๆ

19 April 2006

Let It Die

Fiest, Let It Die CD Cover

เห็นที่สยามพารากอนมีขายด้วย หยิบขึ้นมาลูบๆคลำๆแล้วนึกถึงเพลงหวานชวนฝัน

ที่ฟังแล้วหุบยิ้มไม่ลงอย่าง Mushaboom, Inside and Out, Secret Heart
ที่ให้อารมณ์เย็นๆอย่าง One Evening
ที่เซ็กซี่นิดๆอย่าง Leisure Suite
ที่ฟังแล้วอยากเดินวนบูชายัญอย่าง When I Was A Young Girl
ที่ฟังแล้วต้องนั่งเกาะหน้าต่างดูหิมะตกในบ้านไม้อย่าง Now At Last

หรือฟังแล้วโศกเศร้าเหลือแสนจนอยากจะพาวิญญาณออกจากร่างหยาบ อย่าง Let It Die

พลิกมาดูราคาด้านหลังเห็นราคา 2,400 บาท พยายามขุดความจำจากก้นบึ้งตอนนั้น พบว่าในยามเงินบาทแข็งค่า ผู้ส่งออกเดือดร้อนแบบนี้ ใน amazon ไม่น่าจะเกิน 1,200 บาท

วางเก็บที่ชั้นอย่างทะนุถนอมตามเดิม

"It was hard to tell just how I felt
To not recognize myself
I started to fade away"



อัลบั้ม Let It Die มีเพลงออริจินอลอยู่ห้าเพลงและคัฟเวอร์ของคนอื่นมาหกเพลงรวมทั้ง Inside and Out ของ Bee Gees ด้วย

กำลังรออัลบั้มถัดไป Open Season ที่จะนำเพลงจากชุด Let It Die มารีมิกซ์ใหม่นำโดย The Postal Service

เว็บ Fiest เป็นเว็บที่มีระบบ navigation งงมาก

10 April 2006

ΠΛΑΝΗΤΕΣ



แม้ตอนเป็นเด็ก ผมจะเป็นเด็กเพ้อเจ้อเงียบ นึกอยากเป็นนั่นเป็นนี่อยู่มากมาย ตั้งแต่ครองโลกแบบดร.มาชิริโตะ ไปจนถึงเด็กขัดรองเท้าตามสถานี แต่ก็ไม่เคยนึกฝันอยากจะเป็นคนเก็บขยะ แต่ถ้าการเป็นคนเก็บขยะจะเป็นหนทางเดียวของการได้ออกสู่อวกาศ ผมก็ไม่นึกลังเลยที่จะทำ

ให้ตายสิ ถึงบางทีเวลาผมมองไปยังฮาจิมากิ ผมจะเห็นบางอย่างในตัวผมอยู่ในนั้น แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะฝ่าไปถึงขั้นนั้นได้

Planets เป็นการ์ตูนอวกาศที่ดูจริงจัง หากแต่อารมณ์ที่ได้รับต่างจาก Passport Blue โดยสิ้นเชิง เทคโนโลยีที่นำไปสู่อวกาศเป็นเพียงเปลือกนอก ความรักของมนุษย์ต่างหากที่เป็นผู้นำพาเรื่องราว แม้ผมจะปรามาสการ์ตูนขนาดสั้นไว้มากมาย แต่สี่เล่มของ Planetes กลับอุดมสมบูรณ์แม้ในหนึ่งตอน

ยิ่งโตขึ้นๆการอ่านอะไรวนซ้ำรอบที่สองกลายเป็นเรื่องต้องห้าม กับโลกที่เคลื่อนผ่านหมุนวนสุดรวดเร็ว ทุกการกระทำกลายเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด การกระทำที่ไม่สามารถพาตัวเองไปข้างหน้ากลายเป็นเรื่องไม่อาจยอมรับได้

แต่ผมก็เลือกอ่านแต่ละตอนวนซ้ำไปมาอย่างไม่รู้เบื่อ ทุกครั้งที่อ่านถึงบารอนมนุษย์จากดาวเรติเคิลผู้ถูกลงโทษ ผมนึกคุ้นเคยเหมือนได้พบเจอพวกพ้อง ไม่รู้จะมีซักกี่คนที่ถูกลงโทษอยู่ตอนนี้

การสื่อสารผ่านทางจิตที่โดนริดรอน ทำให้เรื่องราวมากมายซับซ้อนเกินความจริง การใช้ถ้อยคำที่ฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องหฤหรรษ์กึ่งจำเป็นของมนุษย์โลกในปัจจุบัน ผมคงต้องเรียนรู้ตรงนั้นอีกหลายส่วน เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้รับการยกโทษ ให้สามารถเคลื่อนสารผ่านจิตอีกครั้ง


บางทีผมอาจจะไม่ต้องดิ้นรนไปสู่อวกาศอีกแล้ว เพราะผมก็เชืิ่ออย่างที่ฮาจิมากิเชื่อว่าอวกาศนั้นอยู่รอบๆตัวเรา และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ หากเชื่อเช่นนั้นผมคงไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนพยายาม เอาแค่เวียนว่ายหมุนวนอยู่ในจิตใจ ก็คงพบความมืดมิดไร้ทางออกไม่แพ้กัน

แต่น่าแปลกว่าแม้จะรู้คำตอบอยู่ในที แต่ผมก็ยังคงมุ่งหวังที่จะได้ค้นหาคำตอบของตัวเองอยู่ดี ผมคงติดนิสัยยุ่งยากของมนุษย์ จนยากจะสลัดหลุดซะแล้ว

22 March 2006

In Colour in review




หลังจากตกหลุมรักกันมาจาก Teen Love วงแปดคนจากสวีเดนกับเสียงร้องเท่ๆกวนๆก็กลับมาอีกครั้ง กลับมาคราวนี้มิได้หม่นๆ ง่วงๆ หากแต่สดใสสุขสันต์ต่างจากเดิม
เริ่มต้นครึ่งแรกแบบคึกคักๆกับเนื้อเพลงแอบเศร้าหน่อยๆแต่ยังพอมีหวัง ก่อนมาจมดิ่งไร้แววไปกับ Your Call แล้วค่อยๆไต่กลับขึ้นมาในท้ายที่สุด

ฟังดูราวกับเล่นรถไฟเหาะตีลังกาหากแต่เป็นการหมุนวนไร้ที่สิ้นสุด เพราะเรื่องราวของความรักไม่เคยมีสักครั้งที่จะปิดฉากโดยสมบูรณ์

ถ้าใครไม่ค่อยชอบชุด The Concretes แนะนำว่าควรหยิบชุดนี้มาฟัง
ถ้าใครไม่เคยฟัง แนะนำว่าควรหยิบชุดนี้มาฟัง

จะได้ช่วยกันปีนๆป่ายๆ ความสมหวังและความผิดหวังของความรักหลากสีที่มีอยู่หลากหลายบนโลกใบนี้
ี้

23 February 2006

Lonely Planet

วันนี้เป็นอีกวันที่ออกเดินทางไปเป็นทาสเงินจ้างตามปกติ หลังจากออกจากขบวนรถที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ผมพาตัวเองลอดผ่านช่องกั้นเดินตรงไปยังทางออก ผมรู้สึกถึงความนิ่งเงียบผิดสังเกต โลกดูจะหมุนช้าผิดปกติ ความเคลื่อนไหวรอบข้างดูไม่เป็นธรรมชาตินักสำหรับเมืองใหญ่แบบนี้ ผมเริ่มหันมองดูรอบๆ คนจำนวนหนึ่งหยุดยืนนิ่งไม่ไหวติง สงสัยว่าคงจะมุงอะไรกันสักอย่าง

ผมยังคงไม่สนใจเดินเร่งรีบดั่งคนเมืองต่อไป ขณะกำลังก้าวลงบันไดไปยังด้านล่าง ภาพน่าตกใจก็เิกิดขึ้นผ่านตา รถราบนถนนต่างสูญหายไร้วี่แวว ผมมองกลับขึ้นไปข้างบนหรือนี่จะเป็นเหตุผลของการมุงจากกลุ่มคน ไม่น่า การมุงกันโดยมากมักเกิดการโจษจันเป็นเสียงสัญญาณ แต่กับกลุ่มนี้ทุกคนดูยืนกันอย่างสงบนิ่ง ผมพยายามมองหาการเคลื่อนไหวโดยรอบแต่ก็ไม่พบสิ่งใด

ความคิดชั่ววูบพลันเกิดขึ้นมา นี่ผมกลายเป็นคนเดียวบนโลกที่ยังเคลื่อนไหวได้หรือนี่ :)

แล้วจะทำอะไรดีล่ะ

เดินเข้าร้านอาหารสุดหรูกะว่าคราวนี้คงได้กินตามใจอยาก แน่นอนว่าไร้วี่แววผู้ต้อนรับ ลองเดินดุ่มๆเข้าครัวหวังว่าจะมีจานอาหารวางเรียงราย แต่เวลานั้นยังเช้าเกินไป มีวัตถุดิบชั้นดีมากมายวางรอการปรุงแต่ง แต่ไร้คนครัวมาช่วยปรุง ครั้นจะลงมือทำเองฝีมือการทำอาหารของผมกลับเข้าใกล้ศูนย์ แม้บนโลกที่เวลาไม่มีความหมายแล้ว มันยังตามมากลั่นแกล้งอีก

ลองเดินเข้าร้านหนังสือด้วยความลิงโลด ข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลาอ่านก็จะไม่มีอีกต่อไป เหลือแค่หาุมุมเหมาะๆ เรื่องราวบนโลกนี้ก็จะค่อยๆแล่นสู่หัว ปัญหาตอนนี้คือจะเลือกเรื่องไหนก่อนดี พอมีมากมายลานตาแล้วความอยากกลับจืดจางลงไปจากเดิม ค่อยๆเดินตามหาเหลือบมองไปยังชั้นต่างๆ ชั้นหนึ่งมีเจ้าแมวสีส้มสุดตะกละวางเรียงรายอยู่สิบกว่าเล่ม ถ้าอ่านกองนี้จบแล้ว จะหาตอนใหม่ๆอ่านได้จากที่ไหน เขยิบมองไปยังชั้นข้างๆ เรื่องราวของนักรบวิปลาสกับเหยี่ยวขาวจะจบลงแบบไหนกัน ไม่ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด

พลันผมค่อยๆเดินกลับไปยังจุดเดิมที่ผมจากมา เสียงเพลง Mornington Crescent ที่ไหลผ่านหูผมก็จบลง
ผมจะไม่ได้ฟังอัลบัมใหม่ๆที่ผมรอคอยจากนี้ไปอีกแล้วน่ะสิ

ผมเดินผ่านจ้องมองไปยังโทรทัศน์ที่วางรายรอบ ประตูต้อนรับการกลับมาของพระเจ้าในเสื้อแดงก็จะไม่มีทางได้เกิดขึ้น ที่ผมซ้อมท่าเอาไว้กับรีโมทโทรทัศน์ที่บ้านเตรียมไว้สำหรับเครื่อง Revolution ก็จะไม่มีโอกาสได้ลองเล่นจริง แล้วผลแพ้ชนะที่เราทายทักกันไว้ก็ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์

นับรวมไปถึงเรื่องราวที่ยังค้างคาของเรา ทุกอย่างจะยังคงหยุดอยู่ที่เดิม

ของเก่ามากมายยังมีให้ผมค้นหา หนังสือมากมายยังคงกองอยู่บนชั้นรอการเปิดอ่าน แต่ปริศนาต่างๆที่ไม่อาจคลี่คลายได้ด้วยตนเองไม่อาจทำให้ใจผมสงบได้

ผมเดินกลับมายังจุดเดิม ได้ยินเสียงขบวนรถแล่นผ่านแหวกอากาศไปอย่างเลือดเย็น คนรอบข้างผมพากันขยับอีกครั้ง คงเป็นรถขบวนของท่านใดท่านหนึ่งเลือกผ่านเส้นทางนี้ ผมยืนนิ่งอยู่้่เล็กน้อย เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจค่อยๆดังขึ้นตามลำดับ ขบวนรถมากมายต่างพุ่งทะยาน ระบายความเก็บกดที่ถูกสกัดให้ชะงักไว้อย่างสุดเหนี่ยว

ผมนึกยินดีอยู่ในใจ แม้โลกจะแสนวุ่นวาย แต่ผมยังคงอยากเรียนรู้เรื่องราวบนนี้โลกต่อไปกับทุกคน ผมออกเดินต่อไปพลางๆพร้อมกับเสียงเพลง Seek You ที่ค่อยๆดังเข้ามาในหัว

21 February 2006

Once More With Feeling

Bangkok 100 Rock 2006

ไม่แน่ใจว่ากรุงเทพร้างราคอนเสิร์ตแนวนี้ไปนานแค่ไหน แต่เมื่อวันเสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา ก็เป็นประสพการณ์ที่ดีทีเดียวกับ Bangkok 100 Rock 2006 แม้ก่อนเริ่มจะมีการสาปแช่งจากแฟนๆที่ซื้อบัตรตั้งแต่ช่วงแรกไปเล็กน้อย จนไม่รู้ว่าจะกลายเป็นข้อควรระวังของงานทำนองในครั้งต่อไปรึเปล่า

หากแต่มองถึงจำนวนผู้คนในคราวนี้ ก็น่าคิดว่าจะมีงานให้ระวังกันในปีหน้าอีกรึเปล่า

จำนวนคนวันแรกกับวันที่สองต่างกันเกินจะเทียบ เป็นที่น่าเสียดายสำหรับใครหลายคนที่พากันเมินเฉยในวันที่สอง ความสนุกมักจะถูกเก็บอยู่ตอนสุดท้าย

วันแรกได้ดู dEUS วงจากเบลเยี่ยมที่ไม่เคยฟังมาก่อนแต่ก็เล่นได้มันส์น่าฟังทีเดียว ต่อด้วย Ian Brown ยอดวานรจากเกาะอังกฤษกับลีลาอันเหลือร้าย ต่อด้วย Franz Ferdinand ที่เล่นได้เมามันส์และคงกวาดแฟนไปได้อีกมากจากมากอยู่้แล้ว

ตอนแรกคิดว่าวงเล่นสุดท้ายจะเป็น Franz Ferdinand แต่กลับเป็น oasis ที่ไม่ถึงกับผิดหวัง แต่ก็น่าประหลาดใจที่มารู้จากคนอื่นทีหลังว่า นี่คือเล่นดีกว่าครั้งที่แล้ว พยายามคิดหาเหตุผลแล้วก็คิดได้ว่าอารมณ์ของเราคงขาดช่วงกันนานเกินไป

เลยพาลคิดไปถึงความสัมพันธ์ของผมกับเธอ มันจะขาดกันไปตลอดกาลรึเปล่า

วันที่สองเดินทางด้วยความชะล่าใจ The Futureheads เล่นไปหน่อยหนึ่งแล้ว แต่แม้จะไปสายแต่ก็ยังเข้าถึงด้านหน้าได้โดยไม่ยากเย็น ไม่รู้ว่ามองจากด้านบนจะเห็นเป็นอย่างไร The Futureheads เล่นได้สนุกมาก เป็นเพลงไว้เล่นในคอนเสิร์ตจริงๆ ต่อมาด้วย Maximo Park ที่ทุ่มเทเล่นได้เมามันส์ ต่อด้วย Snow Patrol ที่แม้เพลงจะช้าเยอะ แต่ก็เล่นได้ดีทีเดียว ปิดกันด้วย Placebo

คอนเสิร์ทร็อกที่แท้จริงก็เริ่มกันตรงนี้

Taste In Men
The Bitter End
Every You Every Me
Black Eyed
Because I Want You
36 Degrees
This Picture
Special Needs
Special K
Song To Say Goodbye
20 Years

Encore:
Pure Morning
Nancy Boy

ขโมยมาจากคุณ twiceasmean อีกที

หากจะบอกว่าเล่นดีมาก มันส์มาก เจ๋งที่สุด คงจะดูลำเอียงกับวงอื่นเกินไป แต่อ่านมาถึงตรงนี้คงรู้ได้โดยง่ายแล้ว

หากแต่ความรู้สึกหลังดูจบยังคงไม่เต็มอิ่มนัก ขาดเพลงบางเพลงที่อยากฟังไป แต่พอให้อภัย

เหนือกว่านั้นคือความรู้สึกตกค้าง เสียดายที่ Stereophonics ไม่ได้มา ทั้งที่ตั้งใจว่าอยากจะร้อง Dakota ไปกับเธอคนนั้น แต่ความตั้งใจนี้ก็ถูกขัดขวางไปอย่างไม่ไยดี หากเธอคิดอย่างใน Dakota เหมือนกับที่เธอบอกว่าเธอชอบเพลงนี้ก็คงดีสินะ

ปล. ลองเปิดเวบวงต่างๆข้างบนดูพร้อมๆกัน ก็ฟังเพลินสนุกดีทีเดียว

13 February 2006

Dragons



ได้มีโอกาสดูสารคดี Dragons : A Fantasy Made Real เป็นสารคดีที่ไม่ใช่สารคดีแต่เป็นเหมือนนำจินตนาการเข้ามาผสมปนเปกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มาคิดทีหลังแล้วไม่ค่อยน่าเชื่อเท่าไหร่ แต่ก็ออกมา้ดีพอสมควร จุดเริ่มของเรื่องน่าจะเป็นเหมือนกับที่ใครหลายต่อหลายคนคิด
ทำไมมังกรถึงมีอยู่ในตำนานของกลุ่มคนหลากเชื้อชาติทั่วโลก ทั้งๆที่ในอดีตกาลเราต่างมิเคยได้เยื้องกรายทักทายกัน

ผมว่ามันน่าสงสัยพอๆกับที่ว่าเราเป็นสิ่งมีชีวิตอันมีอารยธรรมเดียวในจักรวาลนี้หรือนั่นแหละ

หลังจากได้รู้จักมังกรผ่านบทบาทเดิมๆที่เจอกันอย่างคุ้นเคยในบทหัวหน้าใหญ่ตามเกมต่างๆ นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เห็นมังกรในรูปแบบบันเทิงคดี ซึ่งมันก็สนุกดีทีเดียวที่ได้เห็นจินตนาการที่พรั่งพูนออกมาจากความคิดเริ่มต้นหนึ่งจุดและแตกต่อไปอีกหลายจุด ทำให้จุดเล็กๆเริ่มรวมกันกลายเป็นจุดใหญ่ จนบางครั้งดูเหมือนเป็นการหลอกลวงที่พยายามจะเติมเรื่องราวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นๆ แต่เรื่องทุกเรื่องก็เริ่มจากหลอกหลวงในตอนแรกทั้งนั้น และก็ต้องไม่ลืมว่าบางเรื่องหลอกลวงก็นำพาไปถึงจุดสุดท้ายด้วยเช่นกัน

เป็นไปตามวิวัฒนาการที่สร้างความสมดุลย์ให้กับโลก สัตว์ขนาดใหญ่พากันสูญพันธุ์ไปเรื่อย สุดยอดสัตว์โลกแสนแข็งแกร่งอย่างมังกรเองก็เช่นกัน พวกมันพากันเหลือน้อยลงๆเรื่อย แถมโดนสัตว์โลกอ่อนแอแต่เจ้าเล่ห์อย่างเราตามล่าพวกมันก็พากันล่าถอยหลบหนีซ่อนตัวอยู่ในสถานที่ห่างไกลมากขึ้นเรื่อยๆ

ตัวเมียตัวหนึ่งอยู่อย่างอ้างว้าง เมื่อถึงฤดูผสมพันธุ์มันก็ออกมาร้องเรียกหาตัวผู้ซึ่งไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหนของโลก มันทำได้แต่เฝ้ารอ หากไร้มังกรตัวผู้ย่างกราย มันคงต้องอ้างวางเดียวดายที่สุดขอบโลกต่อไป

โลกยังไม่โหดร้ายกับมังกรตัวนี้เกินไปนัก หลังจากเฝ้ารอจนแทบหมดหวัง มังกรตัวผู้ก็บินโฉบมาปรากฎกายต่อหน้าตัวเมีย "เรามาร่วมรักกันเถอะ"

แม้จะแอบหลับไปบางช่วงเพราะโฆษณาเยอะแถมโฆษณาเหมือนเดิมทุกพัก ก็มาถึงฉากผสมพันธุ์ที่รอคอย

โปรดอย่าเพิ่งเข้าใจกันผิดไป

การร่วมรักของมังกรช่างสวยงาม มันทั้งคู่พากันบินกอดเกี่ยวขึ้นสูงก่อนทิ้งตัวหมุนวนประหนึ่งเต้นรำ มันคงอยากเต้นรำแบบนี้ตลอดกาล หากแต่โลกนี้ยังมีพื้นดินและแรงดึงดูด ก่อนจะพากันดับสูญจากโลก มันทั้งคู่ก็ผละจากกันพ่นไฟเสียหนึ่งที ประกาศถึงความสำเร็จของการผสมพันธุ์ เหล่ามังกรจะได้มีโอกาสออกลูกหลานมาช่วยกันสืบพันธุ์ต่อไปแล้ว

แต่ทุกวันนี้เราก็ยังไม่เคยเห็นพวกมันออกมาโลดแล่นโชว์ตัว โลกนี้อาจจะยากลำบากเกินกว่าที่พวกมันจะอยู่ได้แล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราสัญชาตสัญญาณสัตว์ป่าที่ต่อสู้ักันเอง แต่ปัจจัยที่สำคัญคงเป็นเพราะมนุษย์กลายเป็นสิ่งมีชีวิตบนสุดของห่วงโซ่อาหารที่ล่าทุกอย่าง จนแม้แต่สัตว์สุดแข็งแกร่งอย่างมังกรก็มิอาจต้านทาน

28 January 2006

In God We Trust

ฮีโร่ไม่น่าใช่คำไทยแต่คนไทยทุกคนก็รู้จัก ฮีโร่มักจะโผล่มาในใจเรามากมายตอนเด็ก และค่อยๆล้มหายตายจาก จากตัวเราไปทีละคนสองคน ตัวผมเองก็มีกับเค้าเหมือนกันแต่พอมาเทียบระดับกันคนอื่นแล้วก็เลยมารู้ทีหลัง ว่าระดับฮีโร่ของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากันเท่าไหร่ เลยลองนั่งตรึกตรองดูว่าจริงๆแล้วเป็นใครบ้าง ก็ัยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้



ความรู้สึกแรกที่ได้ยินข่าว เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มจริงแท้ ภาพเก่าในอดีตหลั่งไหลออกมา สมองมนุษย์ช่างแสนสะดวกสบาย

การเดินทางครั้งนี้น่าจะเป็นการหมุนวนของโชคชะตาครั้งสุดท้าย หากท้ายที่สุดเป็นการพลาดพลั้ง การเดินทางสั้นๆนี้คงต้องจบลง แม้จะเป็นเรื่องยากในการเรียกวันคืนเก่าๆกลับมา แต่ได้ร่วมเดินทางด้วยกันอีกครั้ง แค่นี้ก็เกินกว่าคำว่าเพียงพอไปมากมาย

ยินดีต้อนรับกลับอีกครั้งครับ

21 January 2006

Transportation



ความสนุกของการเดินทางท่องเที่ยวไม่ได้อยู่ที่สถานที่ที่แวะไปอย่างเดียวแต่รวมไปถึงวิธีการเดินทางด้วย ยังจำได้ถึงเรื่องราวในการ์ตูนแมวที่ไม่เหมือนแมว ตอนการผจญภัยสู่โลกทะเลลึก เมื่อตอนที่ทุกคนมาชุมนุมกันบนสนามสามท่อแสนน่ารักเพื่อพูดคุยกันถึงเรื่องท่องเที่ยว ประตูไปไหนก็ได้เป็นทางเลือกที่แสนสะดวกสบายแต่ทุกคนกลับปฏิเสธด้วยเหตุผลว่า ความสวยงามของการเดินทางเริ่มต้นกันตั้งแต่ก้าวแรก ผมเลือกเข้าข้างคนหมู่มาก

ทีนี้แม้เราจะตัดตัวเลือกอย่างประตูไปไหนก็ได้ออกไปแล้ว เราก็ยังเหลือทางเลือกอยู่อีกมากพอควร

เครื่องบิน

เครื่องบินกลายเป็นเรื่องจำเป็นในการเดินทางข้ามประเทศ หากไม่อยากติดแหงกบนเรือเป็นเดือนเหมือนสมัยบรรพบุรุษอพยพ แต่การเดินทางด้วยเครื่องบินจัดว่าเป็นการเดินทางที่น่าเบื่อหน่ายเหลือทน ตรวจเช็กตั๋วสัมภาระ ต่อแถวจ๊อกแจ๊กจอแจ แย่งชิงพื้นที่วางกระเป๋า งัดศอกจองที่วางแขน งัดไปงัดมาเริ่มรำคาญ บ่นมากควรหาเงินไปซื้อชั้นธุรกิจ

รถยนต์

รถยนต์ก็ดีนะหากคุณเป็นคนขับและรู้ทาง นี่เป็นการเดินทางแบบเดียวที่เราเป็นควบคุมกลไกด้วยตัวเอง ใช้มือกำหนดทิศทาง เท้าควบคุมความเร็ว ให้ตัวคุณได้โลดแล่นผ่านเส้นทางบนถนนยาวไกล จากเมืองสู่เมือง

แต่ถ้าคุณเป็นคนนั่ง หลับเถอะ

รถไฟ

รถไฟจัดเป็นการเดินทางที่คลาสสิกมากมายเริ่มกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 19 แต่เวลานั่งจริงขอเป็นรถไฟศตวรรษใหม่ดีกว่า ที่นั่งโอ่อ่า นั่งมองวิวสวยสดผ่านกระจกกว้างบานใหญ่ มีโต๊ะพับไว้เขียนอะไรต่ออะไรได้เพลิดเพลินลื่นไหลเหมือนกับรางรถไฟที่เกาะเกี่ยวไปยังที่หมาย นั่งๆเขียนๆ มีรถเข็นอาหารมาให้เลือกสอย ไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่แนะนำว่าเตรียมไปเองดีกว่า ที่น่าลุ้นมากกว่าคือโอกาสจะได้เจอใครซักคนอย่างใน Before Sunrise

ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าผมชอบแบบไหน

03 January 2006

A Year in Review




มนุษย์ไม่เคยหยุดเรียนรู้ ทั้งขณะที่รู้ตัวหรือขณะที่หลงลืมบางสิ่งบางอย่างแต่ทุกก้าวอย่างนั้นก็นับเป็นการเรียนรู้
หนึ่งปีที่ผ่านมานับว่าได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่างมากมาย หลายชั่วขณะที่นึกอยากจดจำเวลานั้นไว้แม้จะเป็นขวบปีที่เต็มไปด้วยวิบากกรรม

ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ได้จบช่วงเวลาที่แสนหวานไปอย่างไม่รู้ตัว

หลายครั้งทีี่นึกอยากย้อนเวลากลับไปแก้ แม้จะรู้ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่อาจจะหวนคืนกลับ แต่ขอแค่สมมุติซักหน่อย ก็สร้างความชื่นมื่นให้กับชีวิตหดหู่ของผมได้ แต่อย่ากระนั้นเลยหากทำเพียงแค่สมมุติซากชีวิตราบเรียบของผมคงหยุดนิ่งเวิ้งว้างบนวงโคจรเปล่าเปลี่ยวต่อไป

ผมเลยได้เห็นตัวเองโคจรไปบนโลกคู่ขนาน เห็นเงาสะท้อนชีวิตในหนึ่งคืนและสิบปีให้หลังบนแผ่นฟิล์ม ตระหนักว่าสถานที่นั้นมีผลต่อจิตใจ พยายามรุกไล่คืบกลับหากผลลัพธ์นั้นกลับสะท้อนถึงความผิดพลาดครั้งเก่า ทุกอย่างสูญสิ้นไปและคงไม่ได้คืนกลับ มุ่งหวังหาสิ่งชดเชยแต่ก็ไม่มีอะไรแทนได้

ความวูบวาบของชีวิตที่เคลื่อนผ่านไปยังคงตราตรึง ช่วงเวลาที่คลาดเคลื่อนของเราจะมีวันกลับมาซ้อนทับกันได้อีกมั้ย แม้แค่อึดใจแต่ก็ยังวาดฝันถึงวันนั้น