31 August 2006

The First Song

A plane in the sky

"แค่สูดอากาศที่นี่ ผมก็คิดว่าคงจะกระโดดได้สูงขึ้นแล้ว"

หลายปีก่อนผมเคยเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่ทุกอย่างแปรเปลี่ยนได้ง่ายดาย

ไม่แปลกนักเพราะทุกอย่างรอบด้านแตกต่างจากเดิมเกินกว่าแค่จะเรียกว่าพลิกผัน ถึงจะคาดการณ์ไว้บ้าง แต่ถึงเวลาจริงทุกอย่างก็ดูมากมายเกินกว่าที่คิด

ผมลองเดินออกมารอบๆ มองคนเดินไปมาก็เริ่มสับสนเล็กน้อยว่าตกลงกำลังอยู่ที่ไหนกันแน่ ก่อนจะเริ่มกล่าวทักทายไปทั่วแต่ก็ไร้ซึ่งการตอบรับ แท้จริงถ้ามีการตอบรับคงน่าแปลกใจกว่าเพราะที่ทำไปเพียงแค่ทักทายในใจ สามัญสำนึกทุกอย่างบนมิตินี้โผล่ขึ้นมาย้ำเตือนว่าจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดใด หากทุกอย่างยังคงเดินไปในรอยเดิม

ความขี้เกียจกับความกลัว สองอย่างที่คอยคุกคามดำเนินงานได้สวยงามไม่ผิดเพี้ยน ผมคงติดกับดักแห่งความขี้เกียจเข้าไปแบบไร้ทางถอน แม้จุดประกายดีๆจะเปิดช่องอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ปล่อยให้มันดับไปแบบเฉื่อยชา ทุกอย่างยังคงดำเนินไปแบบเดิมๆ เดิมๆ

แต่บางครั้งเรื่องราวที่แอบคิดแอบคาดหวังไว้ก็โผล่ขึ้นมาได้ดั่งใจ จากนั้นชิ้นส่วนต่างๆก็เผยตัวออกมากันได้อย่างไม่ยากเย็น ขาดเพียงบางชิ้นที่อยู่ไกลออกไป หรือบางชิ้นที่ยังไม่ถึงเวลามา เรื่องราวบางเรื่องก็ลงตัวไปได้ง่ายๆแบบนี้


บางทีอาจจะเพราะพกความเคยชิืนมามากเกินไป จนชิ้นส่วนบางส่วนที่เข้ามาดูคล้ายเป็ินชิ้นส่วนจากต่างดาว แม้จะรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาว่าอาจจะเคยมีโอกาสได้เยี่ยมแวะดาวดวงนั้นมาบ้าง แต่ก็คงเพียงแค่นั้น


แม้ชิ้นส่วนที่ประกอบขึ้นมาอยู่ตอนนี้ไม่ได้สมบูรณ์แบบอะไร แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถึงชิ้นส่วนจะขาดหายเพิ่มไปอีกบ้างก็คงไม่เป็นไร ผมกำลังจะเดินตามรอยเดิมบนสถานที่ใหม่เหรอ ไม่หรอก สถานที่นั้นเพียงแค่ข้ออ้าง

13 August 2006

321...Zero



เวลายังคงเดินหน้าทำงานอย่างซื่อสัตย์ ขณะที่ความคืบหน้าในการเก็บข้าวของของผมเดินหน้าไปแบบช้าๆ จนเวลาที่น่าจะเหลือไว้ืำทำเรื่องต่างๆถูกจำกัดลงไปอย่างมากมาย

สมัยก่อนผมตีความตัวเองเป็นพวกวัตถุนิยม ชมชอบในข้าวของนอกกาย จนมาตอนนี้คิดว่าดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว แต่พอได้เห็นข้าวของกองรอบกายตอนนี้ ผมคงต้องขอทบทวนความคิดใหม่อีกครั้ง

ผมเคยเล่าอาการวัตถุนิยมของตัวเองให้คนอื่นฟัง เค้าว่าอาการระดับผมถือว่าแค่ขั้นเด็กประถมต้น ไม่แน่ใจว่าเรื่องแบบนี้เอามาตรฐานแบบไหนมาวัดถึงจะดี ถ้าเทียบกับบางคนผมอาจดูอุดมไปด้วยสิ่งของนานาภัณฑ์ แต่กับบางคนผมคงแค่ระดับพอเพียง

คิดไปคิดมาเอาแค่ว่าสามาีรถอยู่รอดได้โดยไม่ต้องลำบากเกินไปก็คงจะพอแล้ว

สารพัดข้าวของถูกนำมาเทกองรวมกันอย่างอุตลุด จนผมนึกถอดใจกับเวลาที่เหลืออยู่ โชคดีที่ได้รับการช่วยเหลือ สุดท้ายทั้งข้าวของและที่ไม่ใช่ก็ถูกจัดเก็บลงไปได้ด้วยดี

เสียดายแต่บางอย่างไม่อาจจะจัดเก็บลงไปด้วยได้

บางอย่างไม่มีโอกาสแม้แต่จะกล่าวลา

เวลาเดินหน้าถอยหลังลงเรื่อยๆ ผมสำรวจตัวเอง แลเหมือนจรวดรอคอยอยู่ที่แท่นแห่งความฝันที่คนมากมายคาดหวังไว้ เรื่องบางเรื่องมันก็เล็กกว่าที่คิดและก็ใหญ่กว่าที่คิดในคราวเดียวกัน ผมคิดแค่เตรียมจะได้พบกับการเดินทางครั้งใหม่ ที่ไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะเป็นอย่างที่เคยคาดหวัง

ผมเดินรอบบ้านของตัวเอง ทักทายไปทั่วเหมือนจะได้รับการตอบรับบางอย่างกลับมา แปลกดีที่ผมไม่ได้รู้สึกเศร้าโศกหรือลิงโลดอะไรมากมายอย่างที่เคยจินตนาการไว้ในกาลก่อน

ผมเคลื่อนกระเป๋าหนักอึ้งเดินออกไปอย่างรวดเร็ว กลับกันกับความคิดต่างๆที่เริ่มทำงานอย่างเชื่องช้า ก้าวสุดท้ายที่ก้าวออกไปผมคิดแค่ว่า

แล้วพบกันอีกนะ

09 August 2006

Universal Human Characteristic

มนุษย์รีดเร้น ใช้เวลานอน 1/6 วัน
มนุษย์ขยัน ใช้เวลานอน 1/4 วัน
มนุษย์ปกติ ใช้เวลานอน 1/3 วัน
มนุษย์เกียจคร้าน ใช้้เวลานอน 1/2 วัน

อาการขาดหายของผมช่วงนี้คงไม่ต้องบอกว่าจะไปตกอยู่ในช่องไหน

ลุ่มหลงมัวเมากับการหลับใหล ผจญภัยค้างเติ่งอยู่ในความฝัน น่าเสียดายว่าเรื่องราวหลากหลายที่น่าเพลิดเพลิน กลับตกค้างอยู่ในหัวสมองบริเวณลึกลับ ที่ยังหาทางขุดกลับคืนมาไม่ได้

เรื่องราวความฝันที่จำได้เลยกลับกลายเป็นเรื่องราวของคนอื่น มีคนเล่าว่าได้เจอหญิงสาวคนหนึ่งในความฝัน แต่ก็มีสติอยู่ว่านี่เป็นเรื่องราวในความฝัน เมื่อลืมตาเธอคนนั้นคงหายไป เค้าเลยนัดหมายกับหญิงสาวให้ไปเจอกันที่ป้ายรถเมล์ตอนแปดโมงเช้า

วันนั้นเค้าเลยแทบจะตื่นเช้าที่สุดในชีวิต แต่เรื่องราวความฝันก็ยังคงรักษาตัวไว้อยู่ที่เดิม

ใช้ชีวิตพัวพันมัวมันกับการหลับนอนแบบนี้ ชวนให้นึกถึงหนังน่าทึ่งที่แนะนำว่าควรดู เรื่อง Waking Life กำกับโดย Richard Linklater ตั้งแต่ปี 2001 นู่น มี Jess กับ Celine จาก Before Sunrise มาพูดคุยกันต่อในเรื่องนี้ด้วยนะ

ในหนังมีคำถามว่า What is the most universal human characteristic - fear or laziness ?
มองดูตัวเองในสภาพเอนเอียงแบบนี้คงตอบไม่ได้ดี คุณๆล่ะคิดว่าอะไร

พอตั้งสติกลับมาได้อีกเล็กน้อยก็ยังคงวนเวียนอยู่กับการหลับใหล เมื่อหนังเรื่องใหม่ของ Michel Gondry ที่คงโผล่มาให้ชมในอีกไม่ช้ากับ The Science of Sleep ที่มีพล็อตเรื่องถูกใจ(อีกแล้ว) อยากรู้ว่าเป็นยังไง ขอเชิญไปชมตัวอย่างหนังน่าดูกันได้ที่นี่

อยู่กับเรื่องง่วงเหงาหาวนอนมาพอดู ถึงเวลาต้องลุกขึ้นมาขยับกาย เพราะวันนี้แล้วที่ Keane จะมาแสดงคอนเสิร์ตในไทยอย่างที่ใครหลายคนเฝ้าใฝ่ฝันรอ ขอลองไปปิดสวิตช์ไฟดูเสียหน่อย ถ้าไฟปิดได้จริงเราคงได้ไปร้องเพลงด้วยกัน