23 January 2007

The Vegetable Orchestra

แม้ว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าคิดอย่างไร ถึงได้เข้าได้ไปทรมานตัวเองซะหนักหนากับ The Passion of The Christ แต่วันก่อนก็ตั้งใจไปดู Apocalypto มาจนได้ แม้ว่าเกือบจะหลุดโรงที่นี่ไปแล้วก็เถอะ

ตอน The Passion of The Christ คุณ เมล กิบสันเคยตั้งใจจะไม่ขึ้นตัวบรรยายเป็นภาษาปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าความเคลื่อนไหวในตัวหนังก็สามารถจะสื่อเรื่องราวได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ไม่รู้ว่านี่จะเป็นความตั้งใจหลักในการทำหนังของเค้ารึเปล่า ถ้าคิดถึงตรงจุดนี้ก็ถือว่า Apocalyto ทำผลงานได้เป็นอย่างดี ด้วยการดำเนินเรื่องอย่างตรงไปตรงมาและค่อนข้างฉับไว คิดว่าถึงไม่อ่านบทบรรยาย (ที่คิดว่าคงตั้งใจเทียบให้ตรงกับภาษาท้องถิ่นจริงๆ) ก็ตามเนื้อเรื่องไปได้แบบไม่ติดขัด แต่อาจกระอักกระอ่วนกับบางภาพแทน

หลายคนวิพากษ์ว่า Apocalypto ขายความรุนแรงเกินเหตุ แต่โดยส่วนตัว ก็คิดว่าสมเหตุสมผลพอควรกับช่วงเวลาและสถานการณ์ในเรื่อง บางทีอาจเป็นเพราะภาพจากหนังเรื่องก่อนของเค้าดูรุนแรงยิ่งกว่า(สำหรับผม) หรืออาจเป็นเพราะจินตนาการ จากการอ่านบทบรรยายการถลกหนังทรมานคนของชาวมองโกล นั้นโหดร้ายกว่าเป็นไหนๆ

ออกตัวกันก่อนว่าไม่ใช่คนนิยมความรุนแรงแต่อย่างใด

จริงๆนะ

หลังจากดูจบก็คิดว่า Apocalypto ทำออกมาสนุกดี แม้ว่ามุกในเรื่องจะไม่มีอะไรใหม่เลยก็ตาม แต่ก็เรียกว่าดีในระดับที่ขายความเป็นหนังกันอย่างเต็มที่ ที่จริงคิดว่าหนังยังสนุกกว่านี้ได้อีกหลายขีด แต่อาจจะทำให้ยาวขึ้น ซึ่งแค่นี้ป้าก็บ่นเหนื่อยแล้ว

อย่างไรก็ดี ความอยากกินต้มเลือดหมูที่พลุ่งพล่านมาหลายวันได้หมดไปโดยฉับพลันหลังจากดูจบ จึงขอแนะนำแฟนๆให้ไปกินก่อนล่วงหน้า

.

ดูไปหนึ่งเรื่องแล้วรู้สึกยังไม่อิ่ม เลยกระโดดเข้าโรงไปดู Letters from Iwo Jima แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ด้วยว่าเวลามันพอดี จนดูจบแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าคุณปู่ คลินต์ อีสวู้ดเป็นคนกำกับนี่เอง ซึ่งต้องบอกว่า ทำออกมาได้ละเมียดเหลือเกิน ทุกอย่างดำเนินไปตามจุดที่ควรจะเป็นชนิดไร้ข้อติ แต่นั่นก็ทำให้หนังขาดอะไรบางอย่างไปไม่หนึ่งก็สอง

แม้ว่า Letters from Iwo Jima จะมีเป้าหมายหลักที่จะสื่อออกมาอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกหลักระหว่างดูของตัวเองคือถ้าเราเป็นทหารญี่ปุ่นที่รู้ว่าจะไม่ได้ออกจากเกาะ Iwo Jima แบบยังเคลื่อนไหวได้ แล้วจะทำอย่างไร

ด้วยทางเลือกอันมีไม่มากนัก และปลายทางล้วนแล้วแต่น่าหดหู่ คงทำได้แค่คิดคับแค้นใจกับความบางเบาของชีวิตตนเอง

เดินออกจากโรงมาแบบหิวๆ แวะไปซื้อซอสหอยนางรมตราหมีแพนด้า คิดถึงที่ดูไปวันนี้แล้ว ตั้งใจว่าวันนี้ข้าวเปล่ากับผัดผักก็คงพอ

From The Basement

จากคำกล่าวอ้างบอกไว้ว่า From The Basement เป็นรายการเพลงแสดงสดที่แสนสดใหม่ จากบรรดานักดนตรีที่ดีที่สุดในพิภพ

ผมพูดตามที่เค้าบอกมานะ

เนื่องจากคนทำคือ Nigel Godrich จึงประเดิมกันด้วยคุณ Thom Yorke ที่พกเพลงจากอัลบัมใหม่ที่ยังไม่ออกของ Radiohead ร่วมไปกับ The White Stripes และงานอิมโพรไวส์ร่วมกันของ Four Tet’s Kieran Hebden กับ Steve Reid

งานนี้ไม่ฟรี ข้างล่างนี่เลยเป็นตัวอย่างแค่พอให้เห็นภาพ



เนื่องจากอัดกันในสตูดิโอที่ลอนดอน เลยตั้งราคาเป็นเงินปอนดฺ์ (เดาเอาเอง) มีทั้งขายแยกและขายเหมาตามสมัยนิยม ราคาต่อการแสดงก็ £1.89 หรือเหมาหมดหกชุดที่ราคา £9.48 หรือถ้าใครสะดวกซื้อผ่าน iTunes ก็ไม่ว่ากัน

แอบไปดู Thom Yorke - Down Is The New Up มาแล้วพบว่าเพลงหลอนดีมาก เำหมาะจะให้ควอซิโมโดเอาไปร้องประกอบเรื่องราวเสียจริง


แต่ถ้าจะต้องเลือกเพลงให้อสูรที่เฝ้ารอโฉมงาม คงเลือกเพลง Fog เสียมากกว่า



กับร่างอสูรที่เห็นจากนอกกาย เสียดทานกับจิตใจแปลกแยกที่ด้านใน จะมีเรื่องราวที่แย่กว่านี้มั้ย ทั้งสงสัยและสงสาร

แม้ให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ของที่ติดอยู่ในใจยังไม่มีวันถูกลบเลือน

05 January 2007

Five Things I'd Like To Tell

คุณ Pit ส่งผ่านมาให้

อธิบายสั้นๆ blog tag ก็คือการบอกสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเอง 5 อย่าง แล้ว tag ต่อให้คนอื่นไปทำตามบ้าง แบบนี้ไปเรื่อยๆ
  1. ชื่อ Sputnik65 เอามาจากหนังสือ Sputnik Sweetheart ส่วนเลข 65 นั้นขอบอกแค่ว่าได้มาจากหนังสือรักเร้นในโลกคู่ขนาน เอามาต่อกันแ้ล้วเวลาอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ คิดว่าเพราะดี

    แต่จริงๆเล่มที่ชอบที่สุดคือ สดับลมขับขาน เล่มแรกของไตรภาคมุสิก และผลงานเล่มแรกขอคุณมูราคามิที่ได้อ่าน

    จะว่าไปเขียนมาปีหนึ่งแล้ว ไม่เคยพูดถึงหนังสือคุณมูราคามิสักครั้ง

  2. ตอนเป็นเด็กเรียนหนังสือไม่เอาอ่าว จนพ่อแม่กลุ้มใจว่าโรงเรียนที่ไหนเค้าจะรับ จนมาวันหนึ่งวิ่งเล่นเกิดหัวฟาดพื้นอย่างรุนแรง หลังจากนั้นค่อยเรียนหนังสือเป็นผู้เป็นคนกับเค้าขึ้นมา

    ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีลูก แล้วเกิดลูกเรียนไม่ดี จะทำอย่างนี้บ้าง

  3. ห้องสมุดโรงเรียนตอนประถมมีหนังสือนาร์เนียไม่ครบชุด เคยพยายามอ่านสามก๊กแต่อ่านจบได้แต่ฉบับการ์ตูน เพชรพระอุมาที่บ้านนั้นก็ปล่อยให้ฝุ่นจับ หนังสือชุดที่ยาวสุดที่อ่านจบคือ The Foundation Series

    เพิ่งผ่านวันคล้ายวันเกิดของคุณอาซิมอฟมาเองนี่นะ

  4. ซีดีแผ่นแรกที่ออกเงินซื้อเองคือ Suede ชุด Coming Up เพราะสงสารสภาพเทป ประมาณปีหนึ่งให้หลัง Suede มาเืมืองไทย เลยได้ดูแสดงสดครั้งแรกในชีวิต ยังประทับใจจนทุกวันนี้

    คืนก่อนฝันว่า Brett Anderson มาร้องเพลงที่บ้าน แต่ไม่มีใึครอยู่ดูซักคน

  5. ทำเว็บครั้งแรกเพราะเห็นติดโฆษณาแล้วได้เงิน เลยไปห้องสมุดยืมหนังสือมาอ่าน แล้วเปิดเว็บเกี่ยวกับเพลงชื่อ infectedsound ก่อนเก็บตัวไปอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย แล้วก็ไม่ได้ทำต่ออีกเลย

    นึกถึงที่เขียนแต่ละอย่างตอนนั้นแล้วก็ตลกดี ไม่เคยได้อ่านกันก็ดีแล้วล่ะครับ

ไม่รู้ว่ามีใครยังอ่านอยู่บ้าง ส่งต่อให้คุณ frid:)y, กลุ่มอาการวันอาทิตย์, kimja, confusionist แล้วก็ crazyeights แล้วกัน

ปล. คุณ hs ถ้าว่างเขียนด้วยก็ดีนะครับ

01 January 2007

2006 Is Dead

ยืนตากลมหนาวกับชั่วโมงสุดท้ายของปี เพลง Born In The UK กระหึ่มขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมจิบชา Tetley ใส่นม ก่อนนั่งคิดทบทวนชีวิตในปีที่ผ่านมา มองคร่าวๆก็ดูเป็นอีกหนึ่งปีที่ผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่พอพิจารณาดูอีกทีก็นับว่าไม่ธรรมดา เรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้นราวกับถูกจัดฉากที่ตัวผมเองเป็นผู้ออกแบบ อาจมีรายละเอียดบางอย่างที่ไม่ได้เป็นดังใจ แต่ในภาพรวมเรื่องราวกลับดำเนินได้อย่างเป็นขั้นตอน

อีกไม่กี่นาทีปี 2006 กำลังจะจากไปแล้ว ผมเกิดมานึกเสียดายอย่างจับใจ พร้อมกับอาการหวาดหวั่นปีใหม่ที่กำลังจะเข้ามา

เวลาที่เจอเรื่องร้ายๆผู้คนมักปลอบใจ ว่านั่นเป็นสัญญาณให้เรื่องดีๆมีโอกาสได้เข้ามา ในทางกลับกันแล้ว ถ้ามีเรื่องดีๆเข้ามา เรื่องไม่ดีจะตามเข้ามา ต่อแถวสลับกันไปหรือไม่ก็น่าคิด

ผมมองไปที่กล่อง Krispy Kreme ทำตาหยีพิจารณาขนาดโดนัทหนึ่งชิ้นกับขนาดปากตัวเองแล้ว คาดว่าจะจัดการได้ในหนึ่งทีอย่างไม่ยากเย็น แต่ด้วยความเกรงใจผู้คนเลยกัดไปเพียงคำเล็กๆ

ลองแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า ทุกอย่างดูมืดมิด ดวงดาวเอาแต่หลบตัว พลันคิดไปถึงเรื่องราวที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นก็นึกตลกตัวเอง

ผมนึกขอให้ได้ดูแสดงสดให้มากขึ้นกว่าในปีนี้ ที่ได้ดูมากมายเป็นประวัติการณ์ของตัวเอง
ผมนึกขอให้ได้ฟังอัลบั้มดีๆให้มากขึ้นกว่าในปีนี้ ที่รู้สึกเหมือนหยุดตัวเองไว้เพียงแค่ช่วงครึ่งแีรก
ผมนึกขอให้ได้หยิบหนังสือมาอ่านให้มากกว่าในปีนี้ ที่ดูจะได้อ่านมากกว่าปีก่อนๆ
ผมนึกขอให้ได้รู้จักใครต่อใครมากกว่าในปีนี้ ที่บางคนได้รู้จักเพียงน้อยนิด
ผมนึกขอให้ตัวเองเขียนได้ดีกว่านี้ เผื่อคุณๆจะได้ไม่เบื่อกันไปเสียก่อน

หรือจะขอกันสั้นๆซื่อๆว่า ให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีกว่าเดิม

อีกไม่กี่วินาทีปี 2006 จะจากไปแล้ว ปีนี้ไม่มีพลุให้สนั่นหวั่นไหว ไม่มีผู้คนคลาคล่ำให้เบียดเสียด มีแต่เกล็ดหิมะโปรยปริวให้เย็นเยือก ผมจัดการโดนัทในมือให้เรียบร้อย ตามด้วยชาให้สุขใจ ก่อนมาทุกข์ใจว่าถ้ายังทำตัวแบบนี้ ปีหน้าคงต้องเริ่มขอให้ร่างกายส่วนเกินหายไปอีกอย่าง

ระบบโทรศัพท์ทางไกลใช้การไม่ยักได้ คงเป็นเพราะต่างคนต่างต้องการส่งข้อความถึงกันและกัน ผมตั้งใจว่าจะรออีกสักหน่อย ก่อนลองใหม่้อีกสักครั้ง ส่วนข้อความที่อยากบอกนั้นไม่มีอะไรมาก สั้นๆเพียงแค่ว่า

สวัสดีปีใหม่ครับ