03 July 2007

23 January 2007

The Vegetable Orchestra

แม้ว่าจนบัดนี้ก็ยังไม่ค่อยเข้าใจว่าคิดอย่างไร ถึงได้เข้าได้ไปทรมานตัวเองซะหนักหนากับ The Passion of The Christ แต่วันก่อนก็ตั้งใจไปดู Apocalypto มาจนได้ แม้ว่าเกือบจะหลุดโรงที่นี่ไปแล้วก็เถอะ

ตอน The Passion of The Christ คุณ เมล กิบสันเคยตั้งใจจะไม่ขึ้นตัวบรรยายเป็นภาษาปัจจุบัน เพราะเชื่อว่าความเคลื่อนไหวในตัวหนังก็สามารถจะสื่อเรื่องราวได้เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ไม่รู้ว่านี่จะเป็นความตั้งใจหลักในการทำหนังของเค้ารึเปล่า ถ้าคิดถึงตรงจุดนี้ก็ถือว่า Apocalyto ทำผลงานได้เป็นอย่างดี ด้วยการดำเนินเรื่องอย่างตรงไปตรงมาและค่อนข้างฉับไว คิดว่าถึงไม่อ่านบทบรรยาย (ที่คิดว่าคงตั้งใจเทียบให้ตรงกับภาษาท้องถิ่นจริงๆ) ก็ตามเนื้อเรื่องไปได้แบบไม่ติดขัด แต่อาจกระอักกระอ่วนกับบางภาพแทน

หลายคนวิพากษ์ว่า Apocalypto ขายความรุนแรงเกินเหตุ แต่โดยส่วนตัว ก็คิดว่าสมเหตุสมผลพอควรกับช่วงเวลาและสถานการณ์ในเรื่อง บางทีอาจเป็นเพราะภาพจากหนังเรื่องก่อนของเค้าดูรุนแรงยิ่งกว่า(สำหรับผม) หรืออาจเป็นเพราะจินตนาการ จากการอ่านบทบรรยายการถลกหนังทรมานคนของชาวมองโกล นั้นโหดร้ายกว่าเป็นไหนๆ

ออกตัวกันก่อนว่าไม่ใช่คนนิยมความรุนแรงแต่อย่างใด

จริงๆนะ

หลังจากดูจบก็คิดว่า Apocalypto ทำออกมาสนุกดี แม้ว่ามุกในเรื่องจะไม่มีอะไรใหม่เลยก็ตาม แต่ก็เรียกว่าดีในระดับที่ขายความเป็นหนังกันอย่างเต็มที่ ที่จริงคิดว่าหนังยังสนุกกว่านี้ได้อีกหลายขีด แต่อาจจะทำให้ยาวขึ้น ซึ่งแค่นี้ป้าก็บ่นเหนื่อยแล้ว

อย่างไรก็ดี ความอยากกินต้มเลือดหมูที่พลุ่งพล่านมาหลายวันได้หมดไปโดยฉับพลันหลังจากดูจบ จึงขอแนะนำแฟนๆให้ไปกินก่อนล่วงหน้า

.

ดูไปหนึ่งเรื่องแล้วรู้สึกยังไม่อิ่ม เลยกระโดดเข้าโรงไปดู Letters from Iwo Jima แบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ด้วยว่าเวลามันพอดี จนดูจบแล้วถึงเพิ่งรู้ว่าคุณปู่ คลินต์ อีสวู้ดเป็นคนกำกับนี่เอง ซึ่งต้องบอกว่า ทำออกมาได้ละเมียดเหลือเกิน ทุกอย่างดำเนินไปตามจุดที่ควรจะเป็นชนิดไร้ข้อติ แต่นั่นก็ทำให้หนังขาดอะไรบางอย่างไปไม่หนึ่งก็สอง

แม้ว่า Letters from Iwo Jima จะมีเป้าหมายหลักที่จะสื่อออกมาอยู่แล้ว แต่ความรู้สึกหลักระหว่างดูของตัวเองคือถ้าเราเป็นทหารญี่ปุ่นที่รู้ว่าจะไม่ได้ออกจากเกาะ Iwo Jima แบบยังเคลื่อนไหวได้ แล้วจะทำอย่างไร

ด้วยทางเลือกอันมีไม่มากนัก และปลายทางล้วนแล้วแต่น่าหดหู่ คงทำได้แค่คิดคับแค้นใจกับความบางเบาของชีวิตตนเอง

เดินออกจากโรงมาแบบหิวๆ แวะไปซื้อซอสหอยนางรมตราหมีแพนด้า คิดถึงที่ดูไปวันนี้แล้ว ตั้งใจว่าวันนี้ข้าวเปล่ากับผัดผักก็คงพอ

From The Basement

จากคำกล่าวอ้างบอกไว้ว่า From The Basement เป็นรายการเพลงแสดงสดที่แสนสดใหม่ จากบรรดานักดนตรีที่ดีที่สุดในพิภพ

ผมพูดตามที่เค้าบอกมานะ

เนื่องจากคนทำคือ Nigel Godrich จึงประเดิมกันด้วยคุณ Thom Yorke ที่พกเพลงจากอัลบัมใหม่ที่ยังไม่ออกของ Radiohead ร่วมไปกับ The White Stripes และงานอิมโพรไวส์ร่วมกันของ Four Tet’s Kieran Hebden กับ Steve Reid

งานนี้ไม่ฟรี ข้างล่างนี่เลยเป็นตัวอย่างแค่พอให้เห็นภาพ



เนื่องจากอัดกันในสตูดิโอที่ลอนดอน เลยตั้งราคาเป็นเงินปอนดฺ์ (เดาเอาเอง) มีทั้งขายแยกและขายเหมาตามสมัยนิยม ราคาต่อการแสดงก็ £1.89 หรือเหมาหมดหกชุดที่ราคา £9.48 หรือถ้าใครสะดวกซื้อผ่าน iTunes ก็ไม่ว่ากัน

แอบไปดู Thom Yorke - Down Is The New Up มาแล้วพบว่าเพลงหลอนดีมาก เำหมาะจะให้ควอซิโมโดเอาไปร้องประกอบเรื่องราวเสียจริง


แต่ถ้าจะต้องเลือกเพลงให้อสูรที่เฝ้ารอโฉมงาม คงเลือกเพลง Fog เสียมากกว่า



กับร่างอสูรที่เห็นจากนอกกาย เสียดทานกับจิตใจแปลกแยกที่ด้านใน จะมีเรื่องราวที่แย่กว่านี้มั้ย ทั้งสงสัยและสงสาร

แม้ให้ร่างกายเปลี่ยนแปลงไปเพียงใด ของที่ติดอยู่ในใจยังไม่มีวันถูกลบเลือน

05 January 2007

Five Things I'd Like To Tell

คุณ Pit ส่งผ่านมาให้

อธิบายสั้นๆ blog tag ก็คือการบอกสิ่งที่เกี่ยวกับตัวเอง 5 อย่าง แล้ว tag ต่อให้คนอื่นไปทำตามบ้าง แบบนี้ไปเรื่อยๆ
  1. ชื่อ Sputnik65 เอามาจากหนังสือ Sputnik Sweetheart ส่วนเลข 65 นั้นขอบอกแค่ว่าได้มาจากหนังสือรักเร้นในโลกคู่ขนาน เอามาต่อกันแ้ล้วเวลาอ่านออกเสียงภาษาอังกฤษ คิดว่าเพราะดี

    แต่จริงๆเล่มที่ชอบที่สุดคือ สดับลมขับขาน เล่มแรกของไตรภาคมุสิก และผลงานเล่มแรกขอคุณมูราคามิที่ได้อ่าน

    จะว่าไปเขียนมาปีหนึ่งแล้ว ไม่เคยพูดถึงหนังสือคุณมูราคามิสักครั้ง

  2. ตอนเป็นเด็กเรียนหนังสือไม่เอาอ่าว จนพ่อแม่กลุ้มใจว่าโรงเรียนที่ไหนเค้าจะรับ จนมาวันหนึ่งวิ่งเล่นเกิดหัวฟาดพื้นอย่างรุนแรง หลังจากนั้นค่อยเรียนหนังสือเป็นผู้เป็นคนกับเค้าขึ้นมา

    ตั้งใจไว้ว่าถ้ามีลูก แล้วเกิดลูกเรียนไม่ดี จะทำอย่างนี้บ้าง

  3. ห้องสมุดโรงเรียนตอนประถมมีหนังสือนาร์เนียไม่ครบชุด เคยพยายามอ่านสามก๊กแต่อ่านจบได้แต่ฉบับการ์ตูน เพชรพระอุมาที่บ้านนั้นก็ปล่อยให้ฝุ่นจับ หนังสือชุดที่ยาวสุดที่อ่านจบคือ The Foundation Series

    เพิ่งผ่านวันคล้ายวันเกิดของคุณอาซิมอฟมาเองนี่นะ

  4. ซีดีแผ่นแรกที่ออกเงินซื้อเองคือ Suede ชุด Coming Up เพราะสงสารสภาพเทป ประมาณปีหนึ่งให้หลัง Suede มาเืมืองไทย เลยได้ดูแสดงสดครั้งแรกในชีวิต ยังประทับใจจนทุกวันนี้

    คืนก่อนฝันว่า Brett Anderson มาร้องเพลงที่บ้าน แต่ไม่มีใึครอยู่ดูซักคน

  5. ทำเว็บครั้งแรกเพราะเห็นติดโฆษณาแล้วได้เงิน เลยไปห้องสมุดยืมหนังสือมาอ่าน แล้วเปิดเว็บเกี่ยวกับเพลงชื่อ infectedsound ก่อนเก็บตัวไปอ่านหนังสือสอบเข้ามหาวิทยาลัย แล้วก็ไม่ได้ทำต่ออีกเลย

    นึกถึงที่เขียนแต่ละอย่างตอนนั้นแล้วก็ตลกดี ไม่เคยได้อ่านกันก็ดีแล้วล่ะครับ

ไม่รู้ว่ามีใครยังอ่านอยู่บ้าง ส่งต่อให้คุณ frid:)y, กลุ่มอาการวันอาทิตย์, kimja, confusionist แล้วก็ crazyeights แล้วกัน

ปล. คุณ hs ถ้าว่างเขียนด้วยก็ดีนะครับ

01 January 2007

2006 Is Dead

ยืนตากลมหนาวกับชั่วโมงสุดท้ายของปี เพลง Born In The UK กระหึ่มขึ้นมาแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ผมจิบชา Tetley ใส่นม ก่อนนั่งคิดทบทวนชีวิตในปีที่ผ่านมา มองคร่าวๆก็ดูเป็นอีกหนึ่งปีที่ผ่านไปอย่างเรียบเฉย แต่พอพิจารณาดูอีกทีก็นับว่าไม่ธรรมดา เรื่องหลายเรื่องเกิดขึ้นราวกับถูกจัดฉากที่ตัวผมเองเป็นผู้ออกแบบ อาจมีรายละเอียดบางอย่างที่ไม่ได้เป็นดังใจ แต่ในภาพรวมเรื่องราวกลับดำเนินได้อย่างเป็นขั้นตอน

อีกไม่กี่นาทีปี 2006 กำลังจะจากไปแล้ว ผมเกิดมานึกเสียดายอย่างจับใจ พร้อมกับอาการหวาดหวั่นปีใหม่ที่กำลังจะเข้ามา

เวลาที่เจอเรื่องร้ายๆผู้คนมักปลอบใจ ว่านั่นเป็นสัญญาณให้เรื่องดีๆมีโอกาสได้เข้ามา ในทางกลับกันแล้ว ถ้ามีเรื่องดีๆเข้ามา เรื่องไม่ดีจะตามเข้ามา ต่อแถวสลับกันไปหรือไม่ก็น่าคิด

ผมมองไปที่กล่อง Krispy Kreme ทำตาหยีพิจารณาขนาดโดนัทหนึ่งชิ้นกับขนาดปากตัวเองแล้ว คาดว่าจะจัดการได้ในหนึ่งทีอย่างไม่ยากเย็น แต่ด้วยความเกรงใจผู้คนเลยกัดไปเพียงคำเล็กๆ

ลองแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า ทุกอย่างดูมืดมิด ดวงดาวเอาแต่หลบตัว พลันคิดไปถึงเรื่องราวที่ยังไม่ได้เกิดขึ้นก็นึกตลกตัวเอง

ผมนึกขอให้ได้ดูแสดงสดให้มากขึ้นกว่าในปีนี้ ที่ได้ดูมากมายเป็นประวัติการณ์ของตัวเอง
ผมนึกขอให้ได้ฟังอัลบั้มดีๆให้มากขึ้นกว่าในปีนี้ ที่รู้สึกเหมือนหยุดตัวเองไว้เพียงแค่ช่วงครึ่งแีรก
ผมนึกขอให้ได้หยิบหนังสือมาอ่านให้มากกว่าในปีนี้ ที่ดูจะได้อ่านมากกว่าปีก่อนๆ
ผมนึกขอให้ได้รู้จักใครต่อใครมากกว่าในปีนี้ ที่บางคนได้รู้จักเพียงน้อยนิด
ผมนึกขอให้ตัวเองเขียนได้ดีกว่านี้ เผื่อคุณๆจะได้ไม่เบื่อกันไปเสียก่อน

หรือจะขอกันสั้นๆซื่อๆว่า ให้ปีใหม่นี้เป็นปีที่ดีกว่าเดิม

อีกไม่กี่วินาทีปี 2006 จะจากไปแล้ว ปีนี้ไม่มีพลุให้สนั่นหวั่นไหว ไม่มีผู้คนคลาคล่ำให้เบียดเสียด มีแต่เกล็ดหิมะโปรยปริวให้เย็นเยือก ผมจัดการโดนัทในมือให้เรียบร้อย ตามด้วยชาให้สุขใจ ก่อนมาทุกข์ใจว่าถ้ายังทำตัวแบบนี้ ปีหน้าคงต้องเริ่มขอให้ร่างกายส่วนเกินหายไปอีกอย่าง

ระบบโทรศัพท์ทางไกลใช้การไม่ยักได้ คงเป็นเพราะต่างคนต่างต้องการส่งข้อความถึงกันและกัน ผมตั้งใจว่าจะรออีกสักหน่อย ก่อนลองใหม่้อีกสักครั้ง ส่วนข้อความที่อยากบอกนั้นไม่มีอะไรมาก สั้นๆเพียงแค่ว่า

สวัสดีปีใหม่ครับ

26 December 2006

Last Christmas

หนึ่งปีแล้วนับจากการเดินทางครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต กับการเดินทางที่เปลี่ยนหลายๆอย่างข้างใน กับความรู้สึกเติบโตครั้งสำคัญครั้งใหญ่ กลิ่นอายสถานที่ สีหน้าผู้คนที่สวยงาม รายละเอียดของแต่ละเหตุการณ์ ยังถูกจดจำไว้เป็นอย่างดี

คิดถึงขึ้นมาแล้วก็ยังนึกเสียดายสถานที่บางแห่งที่ถูกละเลยไป แม้จะนึกอยากย้อนรอยกลับไปเพิ่มรายละเอียดให้สมบูรณ์ แต่เรื่องราวในชีวิตได้พบเพียงหนึ่งครั้ง เก็บทุกอย่างที่เกิดขึ้นไว้ให้ดี ผมกล่าวย้ำเตือนตัวเองเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่นึกอยากจะนับ

ถึงตอนนี้มีโอกาสได้เดินทางแบบเล็กๆกันอีกครั้ง แต่ช่องทางนั้นมิได้มีให้เลือกมาก จึงจำใจเลือกทางเร็วให้อึดอัดเล่น แวะเวียนมาที่สนามบินอีกครั้งแบบผิดนัดหมาย เลยต้องนั่งรอเวลาที่แลกมาด้วยเงินตราอันมิใช่ของตนเอง คิดถึงข้อนี้แล้วก็นับว่าเศร้าใจ นึกไปนึกมาก็ตลกดีที่โทษของการไม่ตรงต่อเวลา กลับเป็นเวลาที่ได้มาเพิ่มเติม ถึงได้มีโอกาสมาขีดๆเขียนๆอยู่ตรงนี้

เวลาอยู่ที่สนามบิน มักจะชวนให้นึกไปถึงหนังเรื่อง Love Actually หรือบางคนอาจนึกไปถึง The Terminal เสียแต่ว่าผมยังไม่ได้ดู แปลกดีที่ผมมักจะพลาดหนัง Tom Hanks ในช่วงหลังๆ ผิดกับหนัง Jack Black ที่ไม่ค่อยจะพลาด แต่เรื่องล่าอย่าง Tenacious D ถ้าไม่รักกันจริง ก็ไม่แนะนำหรอกนะ

ผู้คนตอนนี้จัดว่าไม่พลุกพล่าน ความรักทะลักทะล้นแบบในหนังจึงไม่โผล่มาให้เห็น พบแต่ความเหม่อมองรอคอยอันว่างเปล่า ตัดสินใจฟุ่มเฟือยตัวเองต่อไปด้วยกาแฟสตาร์บักส์ แก้วแรกในรอบหลายเดือน ไวท์ช็อกโกแลตม็อคค่าถูกหยิบยื่นมาด้วยความร้อนกำลังดีอย่างน่าประทับใจ จิบดื่มๆ แล้วนึกในใจว่าน่าจะสั่งแก้วใหญ่ สักครู่หนึ่งก็มีสาวเม็กซิกันมานั่งใกล้ๆอยู่ห่างๆ กลิ่นอาหารจานด่วนที่ผู้คนประณามว่าทำลายสุขภาพโชยออกมาอย่างน่ากวนใจ แต่ยามนี้ผมไม่สนใจเรื่องนั้นนัก นึกอยากเอากาแฟในมือที่เหลือเพียงหยดไปแลก แต่ผลลัพธ์อาจเจ็บตัวกลับมาได้ เลยนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัว รอเวลาโบยบินต่อไป

ช่วงเวลาแห่งเทศกาลเป็นโอกาสอันดี ให้เพลงหลายเพลงที่อัดอั้นมาทั้งปี ได้ทีเปิดเล่นวนเวียนกันทั้งวัน เสียงร้อง Jingle bell rock พาให้คอยครึกครื้นไม่ว่าจะเป็นใครร้อง ผิดกับ Last Christmas ที่ผมมักจะนึกถึงเวอร์ชันอันเจาะจง

เมฆบนฟ้าเริ่มไม่ค่อยทำงาน จึงได้ทีพระอาทิตย์ส่องแสงไร้ผู้บดบัง เหมือนกลุ่มคนจะแปรผันตามภาพแสง บรรยากาศในหนังจึงค่อยเปิดปรากฎ ยิ่งเวลาเดินพา สุขยิ้มเพลินตาจึงค่อยๆได้โอกาสโอบกอดผู้คน ถ้าตัวละครของมุราคามิเป็นผู้เอกอุในการบั่นทอนเวลาแล้ว ผมคงมิได้ห่างเชิงจากนั้นซักเท่าไร

ถึงเวลาลุกจากที่นั่งฝังตัวอันยาวนาน มือหนึ่งหอบหิ้วกระเป๋า เก็บอีกมือไว้โบกลาจากเมืองนี้แบบชั่วคราว ผ่านจุดตรวจเข้าไปนั่งจองที่วางแขนให้เพลินใจ ก่อนหลับตาฟังเสียง Erlend Øye วนเวียนกับหนึ่งเพลงจนปลายทาง

Once bitten and twice shy
I keep my distance
But you still catch my eye

.

Better late than never, Merry Christmas.


Seasonal Greetings

17 December 2006

Persepolis

สมัยก่อนเวลานัดเจอคนผมมักเลือกนัดพบในร้านแผ่นเพลง หรือไม่ก็ร้านหนังสือ ต่อมาโทรศัพท์ติดตามตัวแพร่หลาย สถานที่นัดเจอจึงเริ่มไม่มีความหมาย ร่วมไปกับนิสัยเสียที่แก้ไม่ค่อยหาย ที่มักจะไปสายอยู่เป็นประจำ จึงนับครั้งได้ที่จะมีโอกาสไปเตร็ดเตร่รอใครสักคน

ครั้งหนึ่งมีโอกาสได้ไปรอที่ร้านหนังสือคิโนะคุนิยะอันใหญ่โต ณ สยามพารากอน ไปสะดุดตาหนังสือภาพหน้าตาน่าสนใจ ประกอบกับไปวางอยู่ในหมวดศาสนาที่เผอิญเดินผ่าน เลยหยิบขึ้นมาอ่านด้วยความสนใจใคร่รู้

อ่านไปอย่างเพลิดเพลิน แล้วก็ไม่ยอมซื้อ

เลยได้บทเรียนแบบน่าเขกกะโหลกในอีกไม่กี่วันต่อมา เมื่อพบว่าเล่มแรกไม่มีแล้ว เหลือเพียงแต่เล่มสอง เลยจำใจซื้อมาเก็บไว้ก่อน จวบจนเดินไปเจอร้านหนังสือภาพที่ว่าคราวก่อน ถึงจะมีโอกาสได้อ่านเล่มแรกจนจบ ก่อนจะต่อเนื่องไปถึงเล่มสองจนได้

Persepolis: The Story of a Childhood Persepolis 2: The Story of a Return

Persepolis เป็นผลงานโดย Marjane Satrapi ซึ่งหยิบเอาเรื่องราวของตัวเธอ ตั้งแต่เด็กจนโตมาเล่าผ่านลายเส้นของเธอเอง ช่วยให้ทุกอย่างลื่นไหลเหมือนได้แฝงตัวอยู่ในเหตุการณ์จริง

เธอเป็นชาวอิหร่านที่ใช้ชีวิตอยู่ในครอบครัวที่มีฐานะดี และมีการศึกษาที่ดี อิหร่านขณะนั้นยังปกครองด้วยระบบกษัตริย์ มี Mohammad Reza Pahlavi เป็นองค์ประมุขของประเทศ ซึ่งคนอิหร่านจะเรียกกษัตริย์ของตนเองว่าพระเจ้าชา (The Shah)

จวบจนการบริหารบางอย่างอันดูไม่ชอบธรรม นำไปสู่การประท้วงของผู้คน ประชาชนจึงพากันออกมาขับไล่ แม้จะมีความพยายามแก้ไขข้อผิดพลาดบางอย่าง แต่ก็ไม่นับว่าจริงใจหรือถูกใจผู้คนนัก สุดท้ายทุกอย่างก็มีการเปลี่ยนแปลง (Iranian Revolution)

วันที่พระเจ้าชาถูกเนรเทศออกจากประเทศ ประชาชนอิหร่านต่างพากันออกมาฉลองชัยอย่างยิ่งใหญ่ แต่ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นเพียงภาพลวงตา ปัญหาหลายอย่างไม่ได้ถูกแก้ไข ขณะเดียวกันกลับเพิ่มปัญหาเข้าไปอีกมากมาย

ผลจากการปฎิวัติ คณะปกครองซึ่งขึ้นมาครองอำนาจ จึงออกนโยบาย กำจัดวัฒนธรรมตะวันตก จำกัดสิทธิสตรี รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงหลักสูตรการศึกษา และนโยบายคุมเข้มต่างๆอีกมากมาย

สุดท้ายขณะที่ Marjane Satrapi อายุได้ 14 ปี ครอบครัวของเธอก็ตัดสินใจส่งเธอไปเรียนต่อที่เวียนนา ประเทศออสเตรเลีย ขณะที่ครอบครัวของเธอยังคงปักหลักอยู่ที่อิหร่านต่อไป แม้ว่าจะมีโอกาสอพยพมาด้วยกันก็ตาม (อันหลังนี้ผมเติมลงไปเอง)

แน่นอนว่าการใช้ชีวิตในสถานที่แห่งใหม่ ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว ทุกอย่างที่นั่นค่อยๆเลวร้ายลงเรื่อยๆ จนถึงขั้นใกล้จบชีวิตอยู่ข้างถนน แต่แล้วโชคก็ยังเข้าข้างเธอบ้าง เธอจึงมีโอกาสได้กลับไปยังอิหร่าน และได้เรียนต่อจนจบมหาวิทยาลัย ก่อนจะมีโอกาสได้แต่งงานเหมือนดังผู้หญิงซักคน แต่ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับเธอก็ไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกว่านี่เป็นบ้านหลังเดิมอีกต่อไป

Persepolis: The Story of a Childhood จะเป็นเรื่องราวของเธอในช่วงนับตั้งแต่เธอเกิดจนเธอถูกส่งไปยังออสเตรีย ขณะที่ Persepolis 2: The Story of a Return จะเป็นเรื่องราวของเธอกับชีวิตสาหัสที่ออสเตรีย จนกลับมาว้าเหว่ต่อในบ้านเกิด

Sample graphics from Persepolis 1 & 2

นักวิจารณ์บางคนบอกว่าความโดดเด่นของหนังสือภาพเล่มนี้อยู่ที่เรื่องราวที่ถูกเล่าออกมา ซึ่งก็อาจจะไม่ผิด แต่ผมว่านั่นไม่ค่อยยุติธรรมซักเท่าไร

ขณะนี้เธอใช้ชีวิตอยู่ในปารีส ฝรั่งเศส เป็นนักวาดภาพที่มีผลงานออกมาหลายเล่ม ขณะที่เขียนนี่ก็เพิ่งรู้ว่า Persepolis จะถูกทำออกมาเป็นภาพยนตร์อนิเมชันซึ่งมีกำหนดออกฉายในปี 2007

เธอพูดเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า นี่นับเป็นการตัดสินใจครั้งใหญ่ เพราะตั้งแต่เธอโตขึ้นมา เธอเลือกที่จะทำงานคนเดียวอย่างมีอิสระเสรีมิต้องสนใจใยดีใคร แต่ตอนนี้เธอกำลังทำลายความสวยงามอันนั้นด้วยการทำภาพยนตร์อนิเมชันจากหนังสือของเธอ อันหมายความว่าเธอจะต้องทำงานร่วมกับคนมากกว่าแปดสิบคนทุกวัน!

แล้วจะรอคอยผลงานจากความทรมานอย่างใจจดใจจ่อ

16 December 2006

Put The Book Back On The Shelf

เพราะมีคนพูดถึง เลยถือโอกาสหยิบมาเขียน

ย้อนอดีตไปไม่นาน กิจกรรมช่วงหนึ่งสมัยกำลังปรับแรงดึงดูด เป็นการเดินเท้าผสมนั่งราง มองทิวทัศน์รอบข้าง พาหลงทางไปเนืองๆ แม้ตึกจะหน้าตาเชยๆ ร้านค้าไม่ค่อยน่ามอง แต่ทางเดินกว้างขวาง กับอากาศที่เหมาะสม กิจกรรมเดินเีรื่อยเปื่อยจึงถูกจัดขึ้นไม่เว้นแต่ละวัน แต่อย่าหวังว่าจะจำเส้นทางอะไรได้ เพราะทำเพียงแต่เดินจริงๆ จนบางครั้งนึกอยากหยุดพัก แต่สถานที่กลับไม่อำนวยนัก ทางออกที่เหลือจึงมีเพียงแต่เดิน เดิน เดิน

จนได้มาเจอร้านหนังสือภาพร้านหนึ่ง ท่าทางคงขลัง เลยไม่คิดรีรอที่จะแวะพักกันเสียหน่อย หนังสือภาพหลากชนิด รวมไปถึงหนังสืออาร์ทหน้าตาแปลกๆ ก็มีอยู่ไม่น้อย หนังสือการ์ตูนแปลจากญี่ปุ่น รูปเล่มงดงามวางเรียงสวยงามสมกับรูปเล่ม และราคาที่ต่างจากที่เคยซื้อลิบลับ นึกอยากอวดกันกลางร้านว่าทั้งชั้นนั้นน่ะเคยอ่านมาหมดแล้ว แต่คงจะขำเกินไปหน่อย

เดินเข้ามาจนถึงด้านใน เจอหนังสือภาพหน้าปกสะดุดตา แต่ตื่นเต้นยิ่งกว่าตอนสังเกตชื่อเรื่อง Put The Book Back On The Shelf กับชื่อกำกับที่มุมขวาล่างว่า a Belle & Sebastian anthology

Put The Book Back On The Shelf

แล้วเพลงต่างๆของ Belle & Sebastian ก็ถูกตีความออกมาเป็นภาพและเนื้อเรื่อง อ่านคลอไปพร้อมกับเพลง เลยได้เป็นประสบการณ์ครั้งใหม่ให้ลื่นไหลเพลิดเพลิน แต่มีติดขัดไปบ้างกับบางตอน ที่คนวาดเลือกจะใส่เรื่องตามใจตัวเอง แต่การตีความเนื้อเพลงก็ำไม่ได้มีตายตัวอยู่แล้ว ขณะที่บางตอนอย่าง Dog on wheel ก็เลือกที่จะแนบแน่นเสียสนิทใจ

ถ้าถูกบังคับให้เลือกเพลงที่ชอบคงยากลำบากเกินไป แต่ถ้าถูกบังคับให้เลือกตอนที่ชอบจากในหนังสือ คงขอเลือกตอนที่ฟังพร้อมกับเพลงไปได้แบบไม่ติดขัดอย่าง

Get me away from here I'm dying กับสีเส้นสวยถูกใจ คลอไปกับความเหงาที่โบยบิน
You made me forget my dreams กับความฝันและความเศร้า
Asleep on a sunbeam กับความเรียบง่ายน่าีีรักที่คาดหวัง
If you find yourself caught in love ที่โฆษณาตัวเองในเนื้อเรื่องได้น่ารักจนคิดเอาอย่าง

และตอนดีดีที่ชอบอีกหลายตอนที่ขอละไว้


รายชื่อเพลง และผู้วาดเรียงลำดับได้ตามนี้
  1. The State I'm In by Rick Spears & Rob G.
  2. Expectations by Chris Butcher, Kalman Andrasofszky & Ramon Perez
  3. I Could be Dreaming by Andi Watson
  4. We Rule the School by Mark Smith & Paul Maybury
  5. Me and the Major by Tom Hart
  6. Fox in the Snow by Jacob Magraw
  7. Get Me Away from Here, I'm Dying by Catia Chen
  8. Dog on Wheels by Kako
  9. Lazy Line Painter Jane by Janet Harvey & Laurenn McCubbin
  10. You Made Me Forget My Dreams by Matthew S. Armstrong
  11. Beautiful by Charles Brownstein & Dave Crosland
  12. Ease Your Feet into the Sea by Bruno D'Angelo
  13. The Model by Jennifer de Guzman & Brian Belew
  14. The Chalet Lines by Erin Laing & Matt Forsythe
  15. Nice Day for a Sulk by Rick Remender & John Heebink
  16. There's Too Much Love by Leela Corman
  17. Legal Man by Joey Weiser
  18. Marx & Engels by Jamie S. Rich & Marc Ellerby
  19. Step into My Office, Baby by Ian Carney & Jonathan Edwards
  20. Dear Catastrophe Waitress by Mark Ricketts & Leanne Buckley
  21. Piazza, New York Catcher by David Lasky
  22. If She Wants Me by Ande Parks & Chris Samnee
  23. Asleep on a Sunbeam by Nicholas Bannister
  24. If You Find Yourself Caught in Love by Steven Griffin


อ่านจบแล้วก็นึกถึง Mornington Crescent

อันนี้่ก็ไม่เลวนะ หึหึ