23 February 2006

Lonely Planet

วันนี้เป็นอีกวันที่ออกเดินทางไปเป็นทาสเงินจ้างตามปกติ หลังจากออกจากขบวนรถที่อัดแน่นไปด้วยผู้คน ผมพาตัวเองลอดผ่านช่องกั้นเดินตรงไปยังทางออก ผมรู้สึกถึงความนิ่งเงียบผิดสังเกต โลกดูจะหมุนช้าผิดปกติ ความเคลื่อนไหวรอบข้างดูไม่เป็นธรรมชาตินักสำหรับเมืองใหญ่แบบนี้ ผมเริ่มหันมองดูรอบๆ คนจำนวนหนึ่งหยุดยืนนิ่งไม่ไหวติง สงสัยว่าคงจะมุงอะไรกันสักอย่าง

ผมยังคงไม่สนใจเดินเร่งรีบดั่งคนเมืองต่อไป ขณะกำลังก้าวลงบันไดไปยังด้านล่าง ภาพน่าตกใจก็เิกิดขึ้นผ่านตา รถราบนถนนต่างสูญหายไร้วี่แวว ผมมองกลับขึ้นไปข้างบนหรือนี่จะเป็นเหตุผลของการมุงจากกลุ่มคน ไม่น่า การมุงกันโดยมากมักเกิดการโจษจันเป็นเสียงสัญญาณ แต่กับกลุ่มนี้ทุกคนดูยืนกันอย่างสงบนิ่ง ผมพยายามมองหาการเคลื่อนไหวโดยรอบแต่ก็ไม่พบสิ่งใด

ความคิดชั่ววูบพลันเกิดขึ้นมา นี่ผมกลายเป็นคนเดียวบนโลกที่ยังเคลื่อนไหวได้หรือนี่ :)

แล้วจะทำอะไรดีล่ะ

เดินเข้าร้านอาหารสุดหรูกะว่าคราวนี้คงได้กินตามใจอยาก แน่นอนว่าไร้วี่แววผู้ต้อนรับ ลองเดินดุ่มๆเข้าครัวหวังว่าจะมีจานอาหารวางเรียงราย แต่เวลานั้นยังเช้าเกินไป มีวัตถุดิบชั้นดีมากมายวางรอการปรุงแต่ง แต่ไร้คนครัวมาช่วยปรุง ครั้นจะลงมือทำเองฝีมือการทำอาหารของผมกลับเข้าใกล้ศูนย์ แม้บนโลกที่เวลาไม่มีความหมายแล้ว มันยังตามมากลั่นแกล้งอีก

ลองเดินเข้าร้านหนังสือด้วยความลิงโลด ข้ออ้างเรื่องไม่มีเวลาอ่านก็จะไม่มีอีกต่อไป เหลือแค่หาุมุมเหมาะๆ เรื่องราวบนโลกนี้ก็จะค่อยๆแล่นสู่หัว ปัญหาตอนนี้คือจะเลือกเรื่องไหนก่อนดี พอมีมากมายลานตาแล้วความอยากกลับจืดจางลงไปจากเดิม ค่อยๆเดินตามหาเหลือบมองไปยังชั้นต่างๆ ชั้นหนึ่งมีเจ้าแมวสีส้มสุดตะกละวางเรียงรายอยู่สิบกว่าเล่ม ถ้าอ่านกองนี้จบแล้ว จะหาตอนใหม่ๆอ่านได้จากที่ไหน เขยิบมองไปยังชั้นข้างๆ เรื่องราวของนักรบวิปลาสกับเหยี่ยวขาวจะจบลงแบบไหนกัน ไม่ เรื่องนี้ผมยอมไม่ได้เด็ดขาด

พลันผมค่อยๆเดินกลับไปยังจุดเดิมที่ผมจากมา เสียงเพลง Mornington Crescent ที่ไหลผ่านหูผมก็จบลง
ผมจะไม่ได้ฟังอัลบัมใหม่ๆที่ผมรอคอยจากนี้ไปอีกแล้วน่ะสิ

ผมเดินผ่านจ้องมองไปยังโทรทัศน์ที่วางรายรอบ ประตูต้อนรับการกลับมาของพระเจ้าในเสื้อแดงก็จะไม่มีทางได้เกิดขึ้น ที่ผมซ้อมท่าเอาไว้กับรีโมทโทรทัศน์ที่บ้านเตรียมไว้สำหรับเครื่อง Revolution ก็จะไม่มีโอกาสได้ลองเล่นจริง แล้วผลแพ้ชนะที่เราทายทักกันไว้ก็ไม่มีโอกาสได้พิสูจน์

นับรวมไปถึงเรื่องราวที่ยังค้างคาของเรา ทุกอย่างจะยังคงหยุดอยู่ที่เดิม

ของเก่ามากมายยังมีให้ผมค้นหา หนังสือมากมายยังคงกองอยู่บนชั้นรอการเปิดอ่าน แต่ปริศนาต่างๆที่ไม่อาจคลี่คลายได้ด้วยตนเองไม่อาจทำให้ใจผมสงบได้

ผมเดินกลับมายังจุดเดิม ได้ยินเสียงขบวนรถแล่นผ่านแหวกอากาศไปอย่างเลือดเย็น คนรอบข้างผมพากันขยับอีกครั้ง คงเป็นรถขบวนของท่านใดท่านหนึ่งเลือกผ่านเส้นทางนี้ ผมยืนนิ่งอยู่้่เล็กน้อย เสียงจ๊อกแจ๊กจอแจค่อยๆดังขึ้นตามลำดับ ขบวนรถมากมายต่างพุ่งทะยาน ระบายความเก็บกดที่ถูกสกัดให้ชะงักไว้อย่างสุดเหนี่ยว

ผมนึกยินดีอยู่ในใจ แม้โลกจะแสนวุ่นวาย แต่ผมยังคงอยากเรียนรู้เรื่องราวบนนี้โลกต่อไปกับทุกคน ผมออกเดินต่อไปพลางๆพร้อมกับเสียงเพลง Seek You ที่ค่อยๆดังเข้ามาในหัว

2 comments:

Anonymous said...

บางครั้งก็ชอบคิดว่าอยากให้เวลาหยุด ให้โลกหยุดหมุน หยุดความวุ่นวายทั้งหลายเสียที แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงคงเหงาแย่ ^^ เพราะงั้นถึงจะเหนื่อยก็ต้องเดินต่อไป
เขียนได้ดีจังนะคะ
ปล. ยังอดคิดไม้ได้นะบางที ว่าถ้าหยุดเวลาไว้ได้ซักพักก็คงดี

Anonymous said...

อ่านตั้งแต่ต้นจนจบ ผมเดาเอาว่า อารมณ์คนเขียน คงคล้ายกับตอนที่ Stuart Murdoch แต่งเพลงตอนนั่งรถไฟใต้ดินใต้มหานครผ่านสถานีร้าง Mornington Crescent ที่ปิดซ่อมแซมในขณะนั้น

ผมว่า เพลงมันออกจะเงียบเหงาไปหน่อย แต่ยังสวยงาม

เหมือนอย่างที่คนเขียนคิดว่า โลกหมุนช้าลงจนเกือบจะหยุดนิ่ง ตนเองกลายเป็นสิ่งสุดท้ายที่ยังเคลื่อนไหว นั่นเป็นสิ่งที่มนุษย์แห่งดาวเหงาปรารถนามิใช่หรือ เพราะบางขณะ เรารับรู้ได้ว่าโลกหมุนเร็วเกินไป เกินกว่าที่จะทันสังเกตเห็นความงดงามเล็กน้อยที่แฝงเร้นอยู่ตามซอกหลืบของกาลเวลา, ดอกหญ้าไร้ค่าที่ขึ้นโดดเดี๋ยวในซอกตึก

ตอน Stuart Murdoch นั่งรถไฟผ่านสถานี Mornington Crescent เขาคงมีคำถามเช่นกัน ว่าในสถานีร้างแห่งนั้น เวลาถูกหยุดเอาไว้ด้วยหรือไม่

อ่านจนจบ ผมขอกลับไปฟัง Mornington Crescent สักพันรอบ

เผื่อว่า โลกจะหมุนช้าลงจนเกือบจะหยุดนิ่ง เมื่อเพลงเล่นมาถึงรอบสุดท้าย