30 April 2006

Stadium Arcadium

หลัง​จาก​มิวสิควิดี​โอแสนเรียบง่ายแต่​เพลง​เพราะ​ You're All I Have ​ของ​ Snow Patrol ​ซิงเกิ้ลแรก​จาก​อัลบั้ม​ใหม่​ Eyes Open ​จบลง​ ​ภาพของเพลงต่อไปก็ขึ้นมาดู​เป็น​แนวย้อนยุค​ ​ใน​ใจผมคิดว่าคง​เข้า​ฟอร์มช่อง​ VH1 ​ที่ชอบเปิดเพลงกระชากยุคสมัย​

​ตั้งใจ​จะ​เดินไปปิดทีวี​ให้​เรียบร้อย​ ​เหลือบไปเห็นหน้านักร้องนำ​และ​สมาชิกวงที่ดูคุ้นตา​ ​ตกใจ​เล็ก​น้อยว่า​ไปรู้จักวงโบราณแบบนี้ตั้งแต่​เมื่อไหร่​ ​พอไฟฟ้าผ่านสมองขึ้นมากอีกหน่อยก็คิด​ได้​ว่า​ ​ที่​แท้​เป็น​ Red Hot Chili Pepper ​นี่​เอง​ ​กับ​ซิงเกิ้ลแรก​ Dani California

​มิวสิควิดี​โอ​ Dani California ​จับสมาชิก​ใน​วงมา​แต่งตัว​เป็น​วงดนตรีตามยุคต่างๆ​ ​และ​แต่ละคน​ใน​วงก็สวมบทบาท​กัน​ได้​อย่าง​ถึง​ใจ​

Elvis Presley, The Beatles, The Cure, Sex Pistols, Nirvana ​และ​วง​อื่นๆ​ที่นึก​ไม่​ออก​ ​แต่ที่ขาด​ไม่​ได้​คือ​ ​ลีลาสุดเหวี่ยงของพวกเค้านั่นเอง​

​เพราะ​มีวงรุ่นเก่า​ไม่​กี่วงที่ทำ​ได้​เหมือน​ R.E.M. ​พวกเค้า​จึง​เป็น​วงที่มีีการสลับปรับเปลี่ยนสมาชิก​ ​ให้​วุ่นวาย​อยู่​ตลอด​ ​อัลบั้ม​ Stadium Aracadium ​ที่กำ​ลัง​จะ​ออกเดือนหน้า​ ​จะ​เป็น​งานสตูดิ​โอชุดที่​เก้า​ ​และ​เป็น​ครั้งแรกที่​ใช้​สมาชิกหน้า​เดิมออกงานติดต่อ​กัน​ได้​ถึง​สามชุด​ ​นับ​เป็น​การสร้างสถิติที่​แปลก​ใหม่​ได้​ดีที​เดียว​

Flea ​มือเบสของวง​ให้​สัมภาษณ์​กับ​ Rolling Stone ​ถึง​งานชุดนี้ว่า​ "the best thing we've ever done"


สุดท้ายจะออกมาเป็นยังไงไม่รู้ ​แน่นอนกว่า​นั้น​คือ​ ​ผมตัดสินใจ​ให้​ชุดนี้​เป็น​ชุดที่หน้าปกสวยน้อยที่สุดของ​ Red Hot Chili Peppers ​ตั้งแต่​เคยมีมา​

Stadium Arcadium CD cover

​แต่​ต้อง​ประหลาดใจยิ่งกว่า​เมื่อ​ได้​เห็นหน้าปกซิงเกิ้ล​ Dani California

Dani California CD cover


​ปล​. ​เห็นหน้านักร้องนำ​ Anthony Kiedis ​แล้ว​นึก​ถึง​หนังสือ​ Scar Tissue ​ที่​เคยนึกอยากอ่าน​ ​แต่​แค่หนังสือที่กอง​อยู่​รอบตัวตอนนี้ก็คงเพียงพอไป​ได้​อีกนาน​

28 April 2006

The End Is The Beginning Is The End



ตอนเช้า ปัดฝุ่นวิทยุกดมั่วๆไปหยุดอยู่ที่เพลง Writing To Reach You นึกประหลาดใจปนยินดี แต่โดนหักหลังอย่างฉับพลันโดยเพลง oasis ที่แทรกเข้ามา จริงๆแล้วรู้สึกจะเป็นเมดเล่ย์อะไรซักอย่าง นึกหงุดหงิดใจเลยหยิบไอพ็อดขึ้นมากะจะฟังต่อจากที่อารมณ์ค้างไว้ เพิ่งรู้สึกตัวว่าเราไม่ได้ใส่ Travis ไว้หรือนี่

ระหว่างทางที่ค่อยเดินคืบไปอย่างช้าๆ ผมนึกถึง Gilmore Girls เมื่อคืน
ลุกกับลอเรไลยังดูพอมีหวัง
มาร์ตี้สารภาพกับรอรี่แม้จะรู้คำตอบอยู่แล้ว ก่อนจะต้องจากไปอย่างเดียวดาย ปล่อยให้รอรี่ตกร่องปล่องชิ้นกับโลแกนโดยสมบูรณ์

กลางวันผมกินข้าวแบบจืดชืดท่ามกลางผู้คนขวักไขว่จอกแจกจอแจ จนเสียงเพลงหายจากหัวผมไปในช่วงนี้



ตกเย็นผมมีเหตุให้เดินทางไกลแบบไม่จำเป็น เริ่มเพลิดเพลิน Elefant ก็ตอนที่ฟังวนมาถึงชุด Sunlight Makes Me Paranoid ผมคงต้องให้โอกาสชุดใหม่ The Black Magic Show อีกซักพัก หวังว่าจะกลับมาได้อย่างสวยงามเหมือน Love Travels At Illegal Speeds ของ Graham Coxon ที่ถูกเพิกเฉยในตอนแรกแต่ก็กลับมาชอบในตอนหลัง

ตกดึกผมนั่งนึกถึง 2 ปีที่ผ่านมา มีผู้คนเดินเข้ามาและจากไปรวดเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ
บางครั้งเหมือนจะช้าแต่ก็เป็น 2 ปีที่เร็วพอดู

ผมดื่มฉลองแบบเงียบๆ

เวลาเดินมาชนขอบเขตที่ผมเคยวาดไว้แล้ว ถึงเวลาที่ผมจะต้องเริ่มต้นวาดใหม่อีกครั้ง



เลยเที่ยงคืนไปไกลแล้ว ผมเปิด Keren Ann มากล่อมหลับ ฟังเสียงหวานๆแบบนี้แล้วหวังว่าจะได้นอนหลับฝันดี หลังจากหลับแบบไร้ฝันมานาน

ผมค่อยๆขดตัวนอนแบบมีความหวัง

26 April 2006

And I'm Exactly The Same Way

A Scene in Manhattan


บังคับตัวเองนั่งดูหนังของ Woody Allen สองเรื่อง

ไม่ใช่ว่าไม่อยากดู แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบผลักดันเรื่องราวที่อยากจะทำ ออกไปไกล จนเรื่องเหล่านั้นหลุดขอบออกไปไกล ชวนให้สงสัยในตัวเองทีหลัง ว่าแล้วอย่างนี้จะยังถือว่าเป็นเรื่องที่อยากทำได้อีกหรือไม่

ผมดู Annie Hall ก่อนจะต่อด้วย Manhattan

ใน Annie Hall วูดดี้ อัลเลนเล่นเป็น Alvy Singer ปัญญาชนวัยกลางคนขี้หงุดหงิด
ใน Manhattan วูดดี้ อัลเลนเล่นเป็น Isaac Davis กับบทบาทที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่ดูมั่นใจน้อยกว่า ดูน่ารักกว่าเล็กน้อย

ที่เหมือนกันคือล้มเหลวในการรักษาความสัมพันธ์ทั้งคู่

จริงๆแล้วต่อให้เป็นคนแบบไหน บุคลิกสมบูรณ์แบบยังไง การรักษาความสัมพันธ์กันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย โดยเฉพาะเวลาที่คนใดคนหนึ่งเริ่มหยุดนิ่งแต่อีกคนปราถนาจะไปต่อ และจะแย่กว่านั้นหากเลือกไปในทางตรงข้าม


Annie Hall ดำเนินเรื่องด้วยคำพูดบาดใจตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเรื่อง แต่ Manhattan ดำเนินเรื่องด้วยอารมณ์ที่พาพัดผ่าน

ที่เหมือนกันคือหนักไปทางเศร้าด้วยกันทั้งคู่


แม้ Annie Hall จะคมคายบาดลึก แต่ผมชอบฉากที่ Isaac วิ่งไปหา Tracy ตอนท้ายเรื่องใน Manhattan มากกว่า

และ Manhattan ก็โรแมนติกกว่าจริงๆ

19 April 2006

Let It Die

Fiest, Let It Die CD Cover

เห็นที่สยามพารากอนมีขายด้วย หยิบขึ้นมาลูบๆคลำๆแล้วนึกถึงเพลงหวานชวนฝัน

ที่ฟังแล้วหุบยิ้มไม่ลงอย่าง Mushaboom, Inside and Out, Secret Heart
ที่ให้อารมณ์เย็นๆอย่าง One Evening
ที่เซ็กซี่นิดๆอย่าง Leisure Suite
ที่ฟังแล้วอยากเดินวนบูชายัญอย่าง When I Was A Young Girl
ที่ฟังแล้วต้องนั่งเกาะหน้าต่างดูหิมะตกในบ้านไม้อย่าง Now At Last

หรือฟังแล้วโศกเศร้าเหลือแสนจนอยากจะพาวิญญาณออกจากร่างหยาบ อย่าง Let It Die

พลิกมาดูราคาด้านหลังเห็นราคา 2,400 บาท พยายามขุดความจำจากก้นบึ้งตอนนั้น พบว่าในยามเงินบาทแข็งค่า ผู้ส่งออกเดือดร้อนแบบนี้ ใน amazon ไม่น่าจะเกิน 1,200 บาท

วางเก็บที่ชั้นอย่างทะนุถนอมตามเดิม

"It was hard to tell just how I felt
To not recognize myself
I started to fade away"



อัลบั้ม Let It Die มีเพลงออริจินอลอยู่ห้าเพลงและคัฟเวอร์ของคนอื่นมาหกเพลงรวมทั้ง Inside and Out ของ Bee Gees ด้วย

กำลังรออัลบั้มถัดไป Open Season ที่จะนำเพลงจากชุด Let It Die มารีมิกซ์ใหม่นำโดย The Postal Service

เว็บ Fiest เป็นเว็บที่มีระบบ navigation งงมาก

10 April 2006

ΠΛΑΝΗΤΕΣ



แม้ตอนเป็นเด็ก ผมจะเป็นเด็กเพ้อเจ้อเงียบ นึกอยากเป็นนั่นเป็นนี่อยู่มากมาย ตั้งแต่ครองโลกแบบดร.มาชิริโตะ ไปจนถึงเด็กขัดรองเท้าตามสถานี แต่ก็ไม่เคยนึกฝันอยากจะเป็นคนเก็บขยะ แต่ถ้าการเป็นคนเก็บขยะจะเป็นหนทางเดียวของการได้ออกสู่อวกาศ ผมก็ไม่นึกลังเลยที่จะทำ

ให้ตายสิ ถึงบางทีเวลาผมมองไปยังฮาจิมากิ ผมจะเห็นบางอย่างในตัวผมอยู่ในนั้น แต่ผมก็ไม่คิดว่าจะฝ่าไปถึงขั้นนั้นได้

Planets เป็นการ์ตูนอวกาศที่ดูจริงจัง หากแต่อารมณ์ที่ได้รับต่างจาก Passport Blue โดยสิ้นเชิง เทคโนโลยีที่นำไปสู่อวกาศเป็นเพียงเปลือกนอก ความรักของมนุษย์ต่างหากที่เป็นผู้นำพาเรื่องราว แม้ผมจะปรามาสการ์ตูนขนาดสั้นไว้มากมาย แต่สี่เล่มของ Planetes กลับอุดมสมบูรณ์แม้ในหนึ่งตอน

ยิ่งโตขึ้นๆการอ่านอะไรวนซ้ำรอบที่สองกลายเป็นเรื่องต้องห้าม กับโลกที่เคลื่อนผ่านหมุนวนสุดรวดเร็ว ทุกการกระทำกลายเป็นเรื่องสำคัญยิ่งยวด การกระทำที่ไม่สามารถพาตัวเองไปข้างหน้ากลายเป็นเรื่องไม่อาจยอมรับได้

แต่ผมก็เลือกอ่านแต่ละตอนวนซ้ำไปมาอย่างไม่รู้เบื่อ ทุกครั้งที่อ่านถึงบารอนมนุษย์จากดาวเรติเคิลผู้ถูกลงโทษ ผมนึกคุ้นเคยเหมือนได้พบเจอพวกพ้อง ไม่รู้จะมีซักกี่คนที่ถูกลงโทษอยู่ตอนนี้

การสื่อสารผ่านทางจิตที่โดนริดรอน ทำให้เรื่องราวมากมายซับซ้อนเกินความจริง การใช้ถ้อยคำที่ฟุ่มเฟือยเป็นเรื่องหฤหรรษ์กึ่งจำเป็นของมนุษย์โลกในปัจจุบัน ผมคงต้องเรียนรู้ตรงนั้นอีกหลายส่วน เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ถึงจะได้รับการยกโทษ ให้สามารถเคลื่อนสารผ่านจิตอีกครั้ง


บางทีผมอาจจะไม่ต้องดิ้นรนไปสู่อวกาศอีกแล้ว เพราะผมก็เชืิ่ออย่างที่ฮาจิมากิเชื่อว่าอวกาศนั้นอยู่รอบๆตัวเรา และเราก็เป็นส่วนหนึ่งของอวกาศ หากเชื่อเช่นนั้นผมคงไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนพยายาม เอาแค่เวียนว่ายหมุนวนอยู่ในจิตใจ ก็คงพบความมืดมิดไร้ทางออกไม่แพ้กัน

แต่น่าแปลกว่าแม้จะรู้คำตอบอยู่ในที แต่ผมก็ยังคงมุ่งหวังที่จะได้ค้นหาคำตอบของตัวเองอยู่ดี ผมคงติดนิสัยยุ่งยากของมนุษย์ จนยากจะสลัดหลุดซะแล้ว