26 December 2006

Last Christmas

หนึ่งปีแล้วนับจากการเดินทางครั้งสำคัญครั้งหนึ่งในชีวิต กับการเดินทางที่เปลี่ยนหลายๆอย่างข้างใน กับความรู้สึกเติบโตครั้งสำคัญครั้งใหญ่ กลิ่นอายสถานที่ สีหน้าผู้คนที่สวยงาม รายละเอียดของแต่ละเหตุการณ์ ยังถูกจดจำไว้เป็นอย่างดี

คิดถึงขึ้นมาแล้วก็ยังนึกเสียดายสถานที่บางแห่งที่ถูกละเลยไป แม้จะนึกอยากย้อนรอยกลับไปเพิ่มรายละเอียดให้สมบูรณ์ แต่เรื่องราวในชีวิตได้พบเพียงหนึ่งครั้ง เก็บทุกอย่างที่เกิดขึ้นไว้ให้ดี ผมกล่าวย้ำเตือนตัวเองเป็นรอบที่เท่าไรแล้วไม่นึกอยากจะนับ

ถึงตอนนี้มีโอกาสได้เดินทางแบบเล็กๆกันอีกครั้ง แต่ช่องทางนั้นมิได้มีให้เลือกมาก จึงจำใจเลือกทางเร็วให้อึดอัดเล่น แวะเวียนมาที่สนามบินอีกครั้งแบบผิดนัดหมาย เลยต้องนั่งรอเวลาที่แลกมาด้วยเงินตราอันมิใช่ของตนเอง คิดถึงข้อนี้แล้วก็นับว่าเศร้าใจ นึกไปนึกมาก็ตลกดีที่โทษของการไม่ตรงต่อเวลา กลับเป็นเวลาที่ได้มาเพิ่มเติม ถึงได้มีโอกาสมาขีดๆเขียนๆอยู่ตรงนี้

เวลาอยู่ที่สนามบิน มักจะชวนให้นึกไปถึงหนังเรื่อง Love Actually หรือบางคนอาจนึกไปถึง The Terminal เสียแต่ว่าผมยังไม่ได้ดู แปลกดีที่ผมมักจะพลาดหนัง Tom Hanks ในช่วงหลังๆ ผิดกับหนัง Jack Black ที่ไม่ค่อยจะพลาด แต่เรื่องล่าอย่าง Tenacious D ถ้าไม่รักกันจริง ก็ไม่แนะนำหรอกนะ

ผู้คนตอนนี้จัดว่าไม่พลุกพล่าน ความรักทะลักทะล้นแบบในหนังจึงไม่โผล่มาให้เห็น พบแต่ความเหม่อมองรอคอยอันว่างเปล่า ตัดสินใจฟุ่มเฟือยตัวเองต่อไปด้วยกาแฟสตาร์บักส์ แก้วแรกในรอบหลายเดือน ไวท์ช็อกโกแลตม็อคค่าถูกหยิบยื่นมาด้วยความร้อนกำลังดีอย่างน่าประทับใจ จิบดื่มๆ แล้วนึกในใจว่าน่าจะสั่งแก้วใหญ่ สักครู่หนึ่งก็มีสาวเม็กซิกันมานั่งใกล้ๆอยู่ห่างๆ กลิ่นอาหารจานด่วนที่ผู้คนประณามว่าทำลายสุขภาพโชยออกมาอย่างน่ากวนใจ แต่ยามนี้ผมไม่สนใจเรื่องนั้นนัก นึกอยากเอากาแฟในมือที่เหลือเพียงหยดไปแลก แต่ผลลัพธ์อาจเจ็บตัวกลับมาได้ เลยนั่งสงบเสงี่ยมเจียมตัว รอเวลาโบยบินต่อไป

ช่วงเวลาแห่งเทศกาลเป็นโอกาสอันดี ให้เพลงหลายเพลงที่อัดอั้นมาทั้งปี ได้ทีเปิดเล่นวนเวียนกันทั้งวัน เสียงร้อง Jingle bell rock พาให้คอยครึกครื้นไม่ว่าจะเป็นใครร้อง ผิดกับ Last Christmas ที่ผมมักจะนึกถึงเวอร์ชันอันเจาะจง

เมฆบนฟ้าเริ่มไม่ค่อยทำงาน จึงได้ทีพระอาทิตย์ส่องแสงไร้ผู้บดบัง เหมือนกลุ่มคนจะแปรผันตามภาพแสง บรรยากาศในหนังจึงค่อยเปิดปรากฎ ยิ่งเวลาเดินพา สุขยิ้มเพลินตาจึงค่อยๆได้โอกาสโอบกอดผู้คน ถ้าตัวละครของมุราคามิเป็นผู้เอกอุในการบั่นทอนเวลาแล้ว ผมคงมิได้ห่างเชิงจากนั้นซักเท่าไร

ถึงเวลาลุกจากที่นั่งฝังตัวอันยาวนาน มือหนึ่งหอบหิ้วกระเป๋า เก็บอีกมือไว้โบกลาจากเมืองนี้แบบชั่วคราว ผ่านจุดตรวจเข้าไปนั่งจองที่วางแขนให้เพลินใจ ก่อนหลับตาฟังเสียง Erlend Øye วนเวียนกับหนึ่งเพลงจนปลายทาง

Once bitten and twice shy
I keep my distance
But you still catch my eye

.

Better late than never, Merry Christmas.


Seasonal Greetings

No comments: